11.08.2552

Jesus, I am so in love with You

ความสับสน หรือเครียด หรือเคว้งคว้าง หรืออะไรสักอย่าง
ที่ไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต
ผุดขึ้นมาเมื่อ 2-3 เดือนก่อน

แล้วหมี่ก็ถามตัวเองว่า มันคืออะไร
แล้วมันจะหายไปได้ยังไง

หมี่เข้านอนด้วยความรู้สึกว่าไม่รู้จะทำอะไร
นอนฝันทุกคืน ฝันว่าตามหาอะไรสักอย่าง
บางครั้งก็รู้สึกตายด้าน
บางครั้งก็รู้สึกอยากจะร้องไห้กับอะไรก็ไม่รู้

แล้วก็ถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา ว่ามันคืออะไร

หมี่มั่นใจว่า พระเจ้าอยู่กับหมี่
หมี่โตขึ้นและพระเจ้าอวยพรหมี่ทุกวัน

ที่โบสถ์ Newsong วันนี้
แบ่งปันพระคัมภีร์โดย Dave Gibbons, Founder of Newsong

This World gives you illusion.
And when you grow up, know reality more,
you look into a mirror and found that you're nothing.
You're cut off from others you love,
even from someone told you they love you.

But it's ok.

น้ำตาไหล

หมี่ไปซื้อของที่เซ็นทรัลเวิลด์ เห็นโชว์รูมของรถโฟล์ค
เป็นรถที่หมี่ชอบมาก ฝันไว้ว่า อยากใช้รถรุ่นนี้ตอนมีครอบครัว
หมี่ถามพี่อารทธว่า หมี่เป็นอะไร หมี่จะตอบตัวเองยังไงดี
บางทีหมี่ก็ไม่มีคำตอบให้ตัวเองแล้วก็รู้สึกว่างเปล่ามาก

อย่างเช่น หมี่อยากได้รถโฟล์ค
แต่หมี่รู้ว่าหมี่ไม่มีปัญญาหาเงินมาซื้อหรอก
ต่อไปวันข้างหน้าจะทำยังไงให้ได้ขับ หมี่ก็ไม่รู้
หมี่เชื่อนะ ว่าถ้าพระเจ้าอยากให้ พระเจ้าก็ให้ได้
แต่หมี่ก็ไม่สามารถเชื่อได้จนหมดใจ ว่าหมี่จะได้ใช้รถคันนี้
ไม่กล้าจะหวัง

หมี่อยากได้ Notebook อันใหม่
อยากได้โทรศัพท์เครื่องใหม่
อยากไปเที่ยวต่างจังหวัด

ตลอดเวลาที่ผ่านมา หมี่ได้เงินเดือนแทบไม่พอใช้
แล้วก็หลอกตัวเองว่า ไม่เป็นไรหรอก
ที่เราอดทนอยู่นี่ เพื่อสิ่งที่ดีกว่า สำคัญกว่า
ส่วนของอื่นๆ ถ้าอยากได้ พระเจ้าก็จะให้
หมี่เชื่อมาตลอด ว่าหมี่จะได้สิ่งที่หมี่ควรได้
โดยพระเจ้าจะให้ด้วยทางใดทางหนึ่ง

แต่มันเหมือนกับ...
หมี่เห็นแล้วว่า หมี่ไม่มีปัญญาจะได้สิ่งที่หมี่อยากได้
การกระทำของเรา จะเป็นสิ่งที่กำหนดว่าเราจะได้หรือไม่ได้อะไร
นี่เป็นกติกาของโลกที่เราจำเป็นต้องเดินตาม
ซึ่งปัจจุบันก็สำเหนียกได้ว่า แกมันไม่มีอะไรเลยว่ะ
แกมัน nothing and sinner

พี่อารทธบอกว่า นี่แหละ หมี่กำลังโตขึ้น
และเรียนรู้ความจริงว่า...
เราพ่ายแพ้ไปกับ illusion ของโลกได้ง่ายๆ
เราอยากได้ เรามีความฝัน
แล้วเราก็เจ็บปวด เพราะเรารู้ว่า เราจะผิดหวัง

คุยกันแล้วหมี่ก็ร้องไห้
ตอนที่รอซื้อสายกีตาร์ในร้านที่เซ็นทรัลเวิลด์
แล้วก็มีเพลงดังขึ้นมา
ลูกค้าในร้านลองสายกีตาร์ด้วยเพลงนี้

You are God in heaven
And here am I on earth
So I'll let my words be few
Jesus, I am so in love with You

And I'll stand in awe of You, Jesus
Yes, I'll stand in awe of You
And I'll let my words be few
Jesus, I am so in love with You

The simplest of all love songs
I want to bring to You
So I'll let my words be few
Jesus, I am so in love with You


หมี่ร้องไห้หนักกว่าเดิม
มันเป็นเพลงนมัสการที่เพราะที่สุดในชีวิต

พระเจ้าอยู่กับหมี่จริงๆ นะ
อยู่กับทุกความรู้สึก
ทุกความหวังและความผิดหวัง
ทุกความฝัน

หมี่ไม่เคยรู้จักความเจ็บปวดแบบนี้ แต่มันมีอยู่จริง
แล้วหมี่ก็เพิ่งจะสำเหนียกว่า หมี่มีแผลที่ยังมองไม่เห็น
และโลกนี้มีอะไรหลายอย่างที่พร้อมจะตีเราลงได้ตลอดเวลา

หมี่คงต้องโตมากขึ้น มั่นคงมากขึ้น รับมือกับมันให้ดีกว่านี้
แล้วก็อธิษฐานขอ mercy ของพระเจ้า

Dave บอกว่า ถ้าเราไม่รู้จะอธิษฐานอะไร
ให้อธิษฐานว่า God mercy me.

It's ok,
I'll try.

10.18.2552

Sheep & Sheperd

ก่อนไปเข้าโบสถ์ที่นิวซองวั
นนี้ ได้ไปกินชาบูกับน้องสาวคนหนึ่ง
ไม่ได้เจอกันนาน คลาดนัดกันไป 2-3 รอบ
เจอกันแล้วก็คุยกันสัพเพเหระ ด้วยความคิดถึง

เรียกได้ว่าเป็นลูกแกะที่ขัดเกลานิสัยและมุมมองกันหลายๆ อย่าง
พี่เลี้ยงขัดเกลาลูกแกะ และแกะก็ขัดเกลาพี่เลี้ยง

ห่างหายกันไปสักพัก
ตอนนี้ ก็มีหลายเรื่องที่ลูกแกะตัวนี้มองได้ชัดกว่าพี่เลี้ยงซะแล้ว

ที่นิวซองแบ่งปันเรื่องราวใน ยอห์น 10
ว่าด้วยเรื่องของ "แกะ" และ "ผู้เลี้ยง"
แกะย่อมฟังเสียงผู้เลี้ยง พระเยซูบอกไว้
และผู้เลี้ยงที่ดี ย่อมสละชีวิตเพื่อแกะของตน

หันมาถามตัวเองว่า ผู้เลี้ยงที่ดี เป็นอย่างไร
นิยามของคำว่าผู้เลี้ยงที่ดี จากที่เคยรู้มาตลอดว่า 1 2 3 4
ตอนนี้ ผู้เลี้ยงที่ดี จริงๆ แล้วเป็นอย่างไร

จากประสบการณ์ของตัวเอง

เมื่อรู้ว่าได้เป็นพี่เลี้ยงใคร
จะเกิดความรู้สึกเอ็นดูคนนั้นอย่างแปลกประหลาด
รักเหมือนคนในครอบครัว

หรือเมื่อรู้สึกรักใคร
จะเกิดความรู้สึกเหมือนอยากดูแลเขาเป็นลูกแกะ
อยาก treat เขาให้เติบโตในทางของพระเยซู แบบ automatic

ทั้ง 2 ประเภทนี้ ตายแทนได้หมด (ถ้ามั่นใจว่าเป็นน้ำพระทัยอะนะ)

เลยเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า
หรือ "รัก" กับ "เลี้ยงดู" เป็นเรื่องเดียวกัน
เป็นผลต่อเนื่องตามธรรมชาติ

จำเป็นไหม ที่ต้องมีลูกแกะกี่คนเพื่อบอกว่า เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี
เราสามารถรักทุกคนแบบที่พระเจ้ารัก
และทำทุกอย่างเพื่อพาใึครก็ได้มาถึงพระเยซู
โดยไม่ต้องกะเกณฑ์วิธีและจำนวนได้ไหม
จะเลี้ยงดู ให้คำปรึกษา หรืออธิษฐานเผื่ออยู่ห่างๆ
เพียงพอไหม

หมี่เคยมีลูกแกะ 7 คนในเวลาเดียวกัน
ทุกครั้งที่พาแกะไปตามทางที่เราต้องการได้ไม่ครบ 7
ทำไมมันเจ็บปวดกับสิ่งที่หายไป
มากกว่าจะชื่นชมยินดีกับสิ่งที่เราได้พยายาม
นิยามแบบนั้นอาจจะไม่ใช่หรือเปล่า

นิยามของการเป็นผู้เลี้ยงที่ดี สำหรับหมี่ ณ วันนี้
คือ เป็นลูกของพระเจ้าที่ฟังเสียงพ่อ
และอยู่เพื่อทุกคนที่พระเจ้าตั้งไว้ให้เราได้เจอบนโลกใบนี้ ให้ดีที่สุด

การได้ไปกินชาบูกับลูกแกะคนสวย ทำให้หมี่รู้ว่า
การมีลูกแกะ คือการแลกเปลี่ยนสิ่งดีที่เรามีเพื่อเติมพลังให้กัน
ไม่ต่างอะไรกับการใช้ชีิวิตกับเื่พื่อนร่วมโลกอะนะ



PS. I will use my inner ear for listening to The Voice, thank you, Maria.

8.11.2552

โยนาห์ เด็กน้อย

วันนี้ไปนั่งตากลมที่ระเบียงบ้าน
อ่านพระธรรมโยนาห์ จบเล่มไป 1 หนึ่งรอบ

สิ่งที่รู้สึกขึ้นมาในใจ มี 2 เรื่อง

1.โยนาห์นี่เด๊กเด็ก
ตั้งใจดื้อกับพระเจ้าได้ซะขนาดนั้น
ต่อรองกับพระเจ้าเหมือนเด็กเลย
ตั้งแต่ตอนแรกที่ไม่ยอมไป
พอนีนะเวห์กลับใจ ก็งอแงอีก

ดูกันจริงๆ แล้ว พระเจ้าไม่ได้เลือกผู้รับใช้ที่ยอมมันไปซะทุกอย่างเท่านั้นนะ
เหตุผลที่แท้จริงคืออะไร ก็คงต้องไปถามกันเอาวันสุดท้าย
ที่แน่ๆ โยนาห์เจ๋งดี ในความตรงไปตรงมาอย่างน่าทึ่ง
คงจะเป็นใจของเขาที่ตรงไปตรงมาเนี่ยล่ะ ที่พระเจ้าเอ็นดู

2.พระเจ้าฉล๊าดฉลาด (ไม่รู้จะเน้นเสียงยังไง อิอิ)
แล้วพระองค์รักคนของพระองค์มากมายเหลือเกิน
ดูวิธีที่พระองค์สอนโยนาห์สิ
ครั้งแรก ในท้องปลา (พยากรณ์ถึงพระเยซูอีกต่างหาก)
ครั้งที่สองเรื่องต้นมะเดื่อ
แผนการของพระองค์ก็ perfect
ความงอแงของโยนาห์ยังทำให้คนบนเรือรู้จักพระองค์ได้

ดีใจจังที่รู้จักพระเจ้า
ดีใจจังที่มีพระคัมภีร์อ่าน
ขอบคุณพระเจ้าค่ะ

8.09.2552

องค์พระเยซูคือผู้ใด

8 สิงหาคม ค.ศ.2009
หมี่อ่านพระคัมภีร์ใน ยอห์น 14:1-11
เวลาในพระคัมภีร์ตอนนั้น เป็นช่วงประมาณปี ค.ศ. 33
ในคืนก่อนเทศกาลปัสกา ก่อนวันถูกตรึงการเขนของพระเยซู

ทั้งเปโตร โธมัส และฟิลิป
ต่างก็ตามพระเยซูด้วยคำถามที่คริสเตียนรู้คำตอบ
พระองค์จะไปไหน เราจะไปด้วยได้อย่างไร
สำแดงพระบิดาให้เราเห็นที

.....

ณ วันนี้ เรื่องราวการไถ่ของพระเยซูคริสต์
ได้รับการเปิดเผยผ่านพระกิตติคุณทั้ง 4 เล่มอย่างครบถ้วน
หลักศาสนศาสตร์หลายๆ ข้อ
ก็ได้รับความชัดเจนผ่านจดหมายฝากเปาโล

แต่ ณ วันนั้น สาวกทั้ง 12 คนที่ไม่รู้
วาดภาพการไถ่อัีนอัศจรรย์ที่พระเยซูกำลังจะกระทำไม่ออกแม้สักนิด
เขาเชื่ออะไรในตัวของพระองค์
เขาเชื่อได้อย่างไร ทั้งที่ยังไม่รู้อะไรเลย

.....

ในพระคัมภีร์เ้ดิม
พระเจ้าตั้งกฎในการเผาเครื่องบูชาไถ่บาปเพื่ออิสราเอล
และทรงเปิดเผยเีรื่องการไถ่บาปมนุษยชาติ
ด้วยพยากรณ์ถึงพระเมสสิยาห์

ผู้เชื่อในสมัยนั้น ไม่เห็นอะไรเลย
ไม่รู้จักพระสิริของพระเจ้าอย่างที่เห็นได้ในพระเยซู
ไม่มีพระวิญญาณที่สถิตย์อยู่กับเขา
แล้วเขาเชื่ออะไรในพระเจ้า

.....

ปัจจุบัน ปี 2009
เรื่องราวต่างๆ ในพระคัมภีร์ถูกพิสูจน์จนเกือบจะสมบูรณ์
ว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่จริง และเป็นหลักการนิรันดร์

บริบทต่างๆ เปลี่ยนไปจาก 2000 ปีก่อน
วัฒนธรรมที่เคยเคร่งครัดหนาแน่น ถูกเปิดออกเรื่อยๆ
วิธีการ รูปแบบพิธีกรรม แตกต่างไปอย่างสิ้่นเชิง
ข้อมูลข่าวสารเยอะแยะมากมาย จนไม่รู้ว่าอะไรที่จริง

แล้วเราจะเลือก "เชื่อ" อะไร

.....

โลกหมุนตลอดเวลา
สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปตามการหมุนของโลก
คือความเป็นพระเจ้าที่สมบูรณ์และความเป็นมนุษย์ที่อ่อนแอ

ผู้เชื่อ เราเชื่อใน "พระสัญญา" และ "ประสบการณ์แห่งความรัก"
ที่เราแต่ละคนมีต่อพระเจ้าที่เรารู้จัก
ไม่ว่าจะเป็นพระเยโฮวาห์ของดาวิดและอับราฮัม
เยซูชาวนาซาเร็ธของเปโตร โธมัส ฟิลิป และยอห์น
พระเยซูบุตรพระเจ้าผู้ไถ่ของคริสเตียน

พระเจ้าไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ไม่ว่าโลกและยุคสมัยจะเปลี่ยนไปอย่างไร
พระวาทะของพระเจ้าสอนเราอย่างนั้น
นี่คือสิ่งที่เรา "เชื่อ"

ยอห์น 1:1
ในเริ่มแรกนั้น พระวาทะทรงเป็นอยู่แล้ว
และพระวาระทรงอยู่กับพระเจ้า
และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า

7.29.2552

หมายสำคัญของโยนาห์

เมื่อวานนี้คุยกับพี่คนหนึ่ง ถึงข้อพระคัมภีร์ที่บอกว่า
คนชาติชั่วและคิดคดทรยศต่อพระเจ้าแสวงหาหมายสำคัญ
และจะไม่โปรดให้หมายสำคัญแก่เขา เว้นไว้แต่หมายสำคัญของโยนาห์เท่านั้น
ใน มัทธิว 16:4

บางสำนัก อาจจะอ่านพระคัมภีร์ข้อนี้แล้วตีความว่า
ในยุคสุดท้ายที่เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่ จะไม่มีหมายสำคัญเกิดขึ้นอีกแล้ว
นอกจากการฟื้นคืนพระชมน์ของพระเยซูคริสต์
แต่พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงหมายสำคัญหลายอย่างที่อัครทูตได้ทำขึ้น
ด้วยเดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์...

โรม 15:19 คือด้วยอิทธิฤทธิ์แห่งหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ในฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ จนข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐของพระคริสต์อย่างถ้วนถี่ ตั้งแต่กรุงเยรูซาเล็มอ้อมไปยังเมืองอิลลีริคุม

มาดูพระคัมภีร์กันต่อ
ในมัทธิว 12:41 บอกว่า
ชนชาวนีนะเวห์จะลุกขึ้นในวันพิพากษาพร้อมกับคนยุคนี้
และจะเป็นตัวอย่างให้คนยุคนี้ได้รับโทษ
ด้วยว่าชาวนีนะเวห์ได้กลับใจเสียใหม่ เพราะคำประกาศของโยนาห์
และซึ่งใหญ่กว่าโยนาห์มีอยู่ที่นี่

พระคัมภีร์บอกว่า
ในยุคสุดท้ายจิตใจของคนจะแข็งกระด้าง ความรักจะเยือกเย็นลง
แล้วเราก็เห็นว่า คนให้ความสำคัญกับสติปัญญาความรู้ (แบบมนุษย์)
มากกว่ายุคที่ผ่านๆ มา

คนให้ความสำคัญกับการศึกษา ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
ข่าวสารต่างๆ ทฤษฎีที่ได้รับการค้นพบใหม่ๆ
คนที่มีข้อมูลเยอะ การศึกษาดี ก็เก่ง เป็นที่นับถือ

เรื่องที่น่าเศร้าใจคือ
สิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าให้ความสำคัญ
ไม่ได้รับความสำคัญจากสารระบบของคนในยุคนี้ไปเสียแล้ว

หากเปิดใจให้กว้างก็จะรู้ว่า
ความเข้าใจใหม่ๆ เล็งให้เห็นการมีอยู่ของพระเจ้าได้มากกว่าเดิมเสียอีก
สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ ไม่ได้ขัดกับพระคัมภีร์
และการศึกษาเกี่ยวกับจิตวิญญาณที่กำลังโด่งดัง
ก็เป็นเรื่องเดียวกันกับความเข้าใจฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าบอกเรามาตลอด

จิตใจคนแข็งกระด้าง คนมัวแต่หวาดกลัวการสูญเสีย
คนมัวแต่ปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง
สร้่างเกราะกำบังในชีวิต และในจิตใจไว้กี่ชั้นกันก็ไม่รู้
จะกลับไปรู้จักตัวตนของตัวเองได้ ก็เหนื่อย
ต้องพยายามเปิดใจและเจอกับความปวดใจกันไม่รู้จักจบสิ้น

เนี่ยแหละ ผลของความบาปที่ทวีคูณขึ้นในยุคนี้
ถ้าคนสมัยพระคัมภีร์เดิมได้เห็นและรู้อะไรต่างๆ เท่ากับคนในยุคนี้ได้รู้
สงสัยจะกลับใจกันทั้งโลก

เนี่ยแหละผลของความบาป

ขอบคุณพระเจ้าที่มีพระคุณกับโลกและกับเรา

7.15.2552

ชายตาบอด

อ่านพระคัมภีร์ยอห์น บทที่ 9 เรื่องชายตาบอด
เรื่องยาวเหมือนกัน

พระเยซูไปเจอชายตาบอดคนหนึ่ง
สาวกถามว่า เขาตาบอดเพราะใครทำบาป
พระองค์ตอบว่า เขาตาบอดเพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้าสำเร็จ

ชายตาบอดคนนั้น สร้างความตื่นเต้นโกลาหลให้ทั้งเมือง (ด้วยฝีมือพระเยซู)
เขาไม่รู้ว่าพระองค์เป็นใคร เขารู้เพียงว่า พระองค์ทำให้โลกมืดของเขาสว่างขึ้น

กระบวนการค้นหาความจริงของฟาริสิ ช่างวกวน
ถามแล้ว ถามอีก ถามคนนั้น ถามคนนี้

ความจริงก็คือความจริง ชายตาบอดก็ทำได้แค่ให้ข้อมูลความจริง
และยืนยันในสิ่งที่ตนเองเชื่อ
พระเยซูไม่ได้เป็นคนบาป
พระเยซูคือผู้รักษาตาของเขา

ความจริงใจต่อสิ่งที่พระเยซูได้ทำในชีวิตของเขา ทำให้เขาเชื่อ
และรับความรอด

พระเยซูตรัสว่า "เราเข้ามาในโลกเพื่อแก่การพิพากษา เพื่อให้คนทั้งหลายที่มองไม่เห็นกลับมองเห็น และคนที่มองเห็นกลับตาบอด"
และ "ถ้าพวกท่านตาบอด พวกท่านก็จะไม่มีความผิดบาป แต่บัดนี้ท่านพูดว่า `เรามองเห็น' เหตุฉะนั้นความผิดบาปของท่านจึงยังมีอยู่"

พระเจ้าคะ
หมี่รู้ว่ามีอีกหลายอย่าง ที่หมี่ยังไม่รู้
โลกกว้างใหญ่มากนัก
ความจริงของพระเจ้า ยังมีอีกมากมายให้หมี่ได้ค้นหา
ความรักของพระเจ้าที่ยิ่งสัมผัสมากแค่ไหน
ก็ยิ่งพบว่าเกินความเข้าใจมากเท่านั้น

อย่าให้หมี่สำเหนียกตนผิดเลยนะคะ ว่าหมี่ "มองเห็น"
หมี่เห็นได้ด้วยแสงสว่างจากพระองค์เท่านั้นเองค่ะ

ทางเดินข้างหน้า หมี่ยังมองไม่เห็น ขอให้หมี่วางใจมากขึ้น
ส่วนทางเดินที่ผ่านมา ที่หมี่เห็นแล้ว
ขอให้หมี่เห็นอย่างเข้าใจตามน้ำพระทัยพระองค์นะคะ
อย่าให้หมี่เป็นฟาริสิ ที่ปิดตา ปิดใจ กับความจริงของพระองค์ ไม่ว่ากรณีใดทั้งสิ้น
พระเจ้าช่วยด้วยนะคะ

7.01.2552

ปรัชญาเปาโล

พระคัมภีร์บทหนึ่ง ที่ได้เอาไปแชร์กับลูกแกะ
สะท้อนความจริงบางอย่างของคริสเตียน
ที่หลงวนเวียนอยู่ใน "เนื้อหนัง"

1 โครินธ์ 3
เปาโลบอกกับเมืองโครินธ์ให้รู้ไว้ซะ
ว่าท่านน่ะ ไม่ได้เติบโตในฝ่ายวิญญาณเลย

1 โครินธ์ 2 : 9 บอกให้เรารู้ว่า
เรื่องของฝ่ายวิญญาณคือ...
สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึง

อะไรคือเนื้อหนังและ อะไรคือฝ่ายวิญญาณ จาก 1 โครินธ์ 3
ด้วยวาทะของเปาโลอันมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์

...ความอิจฉา ขัดเคืองใจ แบ่งฝักแบ่งฝ่าย...

โลกใบนี้ก็มีการแบ่งสถาบันมากมาย
เด็กจุฬา เด็กธรรมศาสตร์ พนักงานค่ายนี้ ลูกค้าค่ายนั้น
โลโก้ต่างๆ วิ่งมาประทับตราเราตลอดเวลา

คริสเตียนในโครินธ์ ก็สร้างโลโก้ให้ตัวเอง
ด้วยการสร้างสำนักเปาโล สำนักอปอลโล (4)
แล้วก็เอาโลโก้เหล่านั้นมาสร้างพรรคพวก
เปรียบเทียบกัน และสร้างความอิจฉาโดยไม่ใช่เรื่อง

แต่เปาโลสอนพวกเขาว่า พวกเขาทั้งหมดเป็นไร่นาของพระองค์ (9)
การเติบโตเป็นพระคุณของพระเจ้า พื้นฐานทุกอย่าง มาจากพระเยซูคริสต์
การ "เป็นคนของพระคริสต์" คือ keyword ของคริสเตียน
--ยอห์น 1:12--
สถาบันการศึกษา ตราประทับองค์กร หรือตราประทับสำนัก
ไม่มีความสำคัญใดเลย

สิ่งที่มนุษย์มองเห็นและคำนึงถึงกันถ้วนหน้าในสังคม..
เป็นหยากเยื่อของชีวิตฝ่ายวิญญาณ

...การงานที่ก่อขึ้น...
การงานใดเป็นการงานของพระเจ้า จะทนอยู่ได้ และเป็นที่พิสูจน์ได้ในเวลาหนึ่ง
อาจจะเป็นวันสุดท้าย วันแห่งการพิืพากษา (13)

แล้วมนุษย์หน้าไหนจะไปกล้าพูดได้ ว่าสิ่งนี้ สิ่งนั้น มาจากพระเจ้าหรือไม่
โดยใช้สายตาฝ่ามนุษย์มองและตัดสิน พิพากษา

พระเยซูกล่าวถึงการงานของพระองค์ด้วยความมั่นใจทุกครั้ง
พยานของพระองค์ คือตัวเองและพระบิดา..
ฟาริสีก็ชี้หน้าด่า ว่าขี้ตู่
--ยอห์น 8:13--

ความจริงทั้งหมดปรากฏขึ้น ชัดเจนได้ว่าเป็นการงานของพระเจ้า
ก็เมื่อพระองค์ูถูกตรึงการเขนแล้วด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตาม ตลอดชีวิตของพระเยซู
สิ่งที่พระองค์ทำ แต่ละเรื่อง แต่ละอย่าง...
เปลี่ยนแปลงจิตใจของคนแต่ละคน ด้วยวิธีการต่างกัน เวลาต่างกัน
มนุษย์ที่มีจิตใจคับแคบก็ตัดสินทุกอย่างตามความคิดของตน
แล้วบอกว่า นั่นดี นั่นไม่ดี นี่ไม่ใช่
ละเลยไปแล้วว่า ตนเองเป็นเพียงมนุษย์ที่จำกัด

การงานของพระเจ้าจะปรากฏให้เห็นเป็นแน่
ถ้าสายตาของเรา ไม่กว้างพอที่จะเข้าใจในผลที่มองไม่เห็น
ก็ไปรอดูเอาวันสุดท้าย (15)

...คนมีปัญญา...
ผู้คนต่างเย่อหยิ่ง ยิ่งมีมากยิ่งหยิ่ง
ถีบตัวเองขึ้นไปด้วยการโอ้อวดสำแดงความรู้ความสามารถของตน
และกดคนอื่นลง ด้วยว่าเขาด้อยกว่า ไม่มีปัญญาเทียบเท่าตัวเอง

มนุษย์ให้เกียรติกับคนฉลาดและประสบความสำเร็จ
แต่พระเจ้าให้เกียรติคนที่ถ่อมใจและให้เกียรติพระเจ้า

เปาโลบอกว่า อย่าหลอกตัวเอง ว่ามีปัญญา
ปัญญาเหล่านั้นไร้ค่าเหลือเกินในวันสุดท้าย
เพราะปัญญาของมนุษย์คือความโง่เขลาของพระเจ้า (18)
และสิ่งที่มนุษย์มองว่าโง่เขลา นั่นแหละ พระเจ้าจะยกชู

เราถูกมองว่าโง่เขลา เพราะเราไม่ได้แสวงหาเกียรติของมนุษย์
มนุษย์มองไม่เห็นสิ่งที่เขาต้องการจากเรา เขาจึงกดเราลง
แต่เมื่อเราให้เกียรติพระเจ้า พระเจ้าจะให้เกียรติเราสูงกว่ามนุษย์คนไหนจะให้ได้


...สิ่งสารพัด...
มนุษย์มองเห็นสิ่งใดว่ามีค่า ก็ยึด หา จับเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นของตัว
ชาวโครินธ์เดินตามอย่างมนุษย์ ที่จับยึดสิ่งของมองเห็นเหล่านั้น
จนลืมไปว่า สิ่งสำคัญที่เป็นรากฐานของชีวิต ไม่ได้มองเห็นด้วยตาเลย

ตั้งแต่ปฐมกาล พระเจ้าบอกว่า สิ่งสารพัดทั้งสิ้น พระองค์ทรงให้มนุษย์ครอบครอง
--ปฐก 1:26--

ทุกสิ่งนั้นเป็นของเรา (21)
และเราเป็นของพระเจ้า
พระเจ้าเป็นผู้มอบให้
ไม่ใช่ได้มาด้วยตัวเราเอง

คริสเตียนผู้ได้ชื่อว่า ดำเนินชีวิตในฝ่ายวิญญาณ
ทั้งในเมืองโครินธ์ และในโลกปัจจุบัน
คงต้องเลือกอย่างจริงจังแล้วว่า...

จะแสวงหาสิ่งที่สายตาและความคิดมนุษย์จับต้องได้ต่อไป

หรือจะกลับมาแสวงหาพระเจ้าที่มองไม่เห็น ผู้ทรงสร้างและให้ทุกสิ่งอย่าง
และดำเนินชีวิตในฝ่ายวิญญาณ
โดยเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นในสายตาอันจำกัดของตนเองเสียที

นักเทศน์ตัวน้อยกับความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

เมื่อวัีนอาทิตย์ที่ผ่านมา ในช่วงเทศนา
อาจารย์ไ้ด้เอาวีดีโอเกี่ยวกับเด็กชายตัวน้อย อายุ 8 ขวบมาให้ดู

ความ peak ของเรื่องนี้คือ
ระหว่างความขัดแย้งของชาวมุสลิมและคริสเตียนในประเทศอินโดนีเซีย
เด็กชายคนนี้ ได้ลุกขึ้นมาเทศนาเพื่อสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้น
คู่ไปกับเด็กอีกคนหนึ่ง ที่คอยอธิษฐานเผื่ออยู่ใกล้ๆ

ผู้คนในอินโดนีเซียหันมาบอกกับตัวเองเมื่อได้ฟังคำเทศน์
ว่า จริงสินะ เราอยู่ร่วมกันได้แม้ในความแตกต่าง

สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ด้วย...
ความสามารถ?
ประสบการณ์?

พระคุณและโอกาสต่างหาก
ถ้าพระเจ้าจะใช้ผู้ใด พระเจ้าจะเจิมผู้นั้น
ไม่ขึ้นอยู่กับความสามารถ
ไม่ขึ้นอยู่กับประสบการณ์
แต่ขึ้นอยู่กับพระคุณ

คิดๆ แล้วก็แปลกใจ
ประเทศอินโดนีเซียที่ดูเป็นดินแข็งขนาดนั้น
พระเจ้ายังทำงานกับเด็กตัวน้อยๆ ได้

คงเป็นเพราะความไม่มีการศึกษาของคนส่วนใหญ่
ทำให้ไม่เกิดความเย่อหยิ่ง ไม่ปิดใจ ไม่ปิดกั้น
ไม่ใช้ความคิดมากไปกว่าการอาศัยความเชื่อ
เชื่อพระเจ้า
เชื่อใจคนที่มีพระเจ้า มากกว่าเชื่อความคิดของตนเอง

ประเทศไทย ดูภายนอกเหมือนเป็นดินดี อ่อนโยน อ่อนนุ่ม
แต่ทำไมถึงไม่มีโอกาสให้คนไทย ได้รับใช้พระเจ้าแบบนี้บ้าง

ถ้าเราไม่ได้รับการไว้วางใจจากมนุษย์
เพราะไม่มีเครื่องยืนยันเป็นสิ่งที่ตามองเห็นได้
เราก็ต้องรับผิดชอบในการแสวงหาโอกาสและความกล้าหาญเองใช่ไหม

การสนับสนุนมาถึงทุกคนอย่างเท่าเทียมได้หรือไม่
ระบบชนชั้น ฐานะ การศึกษา ผลงาน ความสำเร็จ
อันเป็นมาตรฐานสังคมที่ปลูกฝังรากลึกมานาน
มาตรฐานที่วัดได้ด้วยสายตา..
จะไม่มาขวางกั้นการทำงานของพระเจ้า และโอกาสของผู้เชื่อได้หรือไม่

คริสเตียนไทยจะต้องเดินตามกรอบสังคม
เพื่อสนับสนุนมาตรฐานผิดๆ แบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน

ผู้เชื่อจะได้รับการสนับสนุนให้มีเสรีภาพ
เพื่อรับใช้พระเจ้าด้วยพระคุณได้เมื่อไหร่

เห็นแต่เด็กกลับมาชาติมาเกิด ที่ได้ออกทีวีของบ้านเรา
แล้วนักเทศน์ผู้ทำการอัศจรรย์ จะได้ออกทีวีกับเขาบ้างไหม

ว่าแต่ว่า การอัศจรรย์จะมาได้อย่างไร
หากเรายังดำเนินชีวิตภายใต้สิ่งที่ตามองเห็น
และพิพากษาจิตใจและความเป็นคน ตามสิ่งที่ตามองเห็น

ยอห์น 8:15-16

จะต่างอะไรกับฟาริสี

เศร้าใจ
แต่ก็ดีใจที่ได้รับความมั่นใจมากขึ้น
ว่า น้ำพระทัยพระเจ้า คือพระองค์ใช้คนตามพระคุณของพระองค์

6.25.2552

สติกับพระวิญญาณ

ชีวิตช่วงนี้ไม่ได้อยู่กับร่้องกับรอยเท่าไหร่
สังเกตุได้จากความห่างเหินใน Blog ทั้ง imbamee และ rinnah-me

เริ่มพะวงอยู่กับอนาคต
และบางทีก็คิดถึงอดีต

ศาสนาพุทธมีหลักคำสอนบอกให้เรามีสติ กำหนดรู้ทุกลมหายใจ
รู้เท่าทันความคิด ความรู้สึก และสถานการณ์

พระคัมภีร์บอกให้เรามีชีวิตโดยพระวิญญาณ
มีสติ ไม่เมาเหล้าองุ่น
เอเฟซัส 5:18

ในมธ 6:25-34 บอกเราว่า
อย่ากระวนกระวายในวันข้างหน้า
เพราะว่ามีพระเจ้าที่วางใจได้ดูแลอยู่

หมี่เข้าใจว่า การดำเนินชีวิตในพระวิญญาณ
คือรู้เท่าทันเนื้อหนังแห่งความบาปของตนเอง

รู้เท่าทันความกลัวและวิตกกังวลในจิตใจ
รู้ว่า อะไรคือความจริงที่พระเจ้าได้บอกไว้
อะไรคือความรู้สึกที่มาจากการเร้าใจในพระวิญญาณ
และอะไรคือความคิดที่มาจากนิสัยบาปที่เราเคยชิน

คนที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงจิตใจใหม่โดยพระเจ้า
หมี่เชื่อว่า ถ้าเขามีสติ ใช้ความคิดด้วยความรู้สำนึกว่าเขาเป็นคริสเตียน
เขาจะไม่ปล่อยให้ตัวเองทำบาปแน่ๆ
นอกจากว่า เผลอ ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอารมณ์ ความรู้สึก และความคิดแบบโลก

ตอนนี้เริ่มละ
เริ่มกังวลแบบโลก
มองอนาคตแบบโลก

พระเจ้าคะ
ช่วยด้วยอีกหนึ่งรอบ
เอาสติมาอยู่กับพระวิญญาณในตัวหมี่ที

6.11.2552

กลับมา..

มองพระพักตร์องค์พระเยซู
กลับมาชมพระพักตร์อัศจรรย์

กลับมาหาพระองค์ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่ง
และอาศํยอยู่ในพระคุณพระองค์

และอาศัย...
อยู่ในพระคุณพระองค์

เพราะพระเจ้ามีพระคุณ รักและเมตตา
เราจึงจะไม่กลัวอะไร

6.03.2552

เราบอกความจริงแก่ท่านว่า...

ยอห์น 6:26
"เราบอกความจริงแก่ท่านว่า..."

วันนี้อ่านพระคัมภีร์ ยอห์น 6:22-27

บรรดาคนที่ได้รับอาหารจากขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัว
เดินทางตามหาพระเยซูและสาวก
ถึงขั้นข้ามน้ำข้ามทะเลมาแต่ไกล

พระเยซูบอกพวกเขาว่า เขาตามหาพระองค์ไม่ใช่เพราะหมายสำคัญ
แต่เพราะขนมปังที่ทำให้อิ่มท้อง

เมื่อวานอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง
บอกว่า อย่าเสพติดความรู้สึกดีๆ ของการทรงสถิต
แต่จง focus ที่พระเจ้า
พระลักษณะของพระองค์
แสวงหาการใกล้ชิดติดสนิทกับพระองค์ เพื่อฟังถ้อยคำของพระองค์
ไม่ใช่เพื่อความรู้สึกดีๆ

น่าละอายจัง
เราเผลอ focus กับความสุขสบายส่วนตัวได้ง่ายจริงๆ

นี่ไง พระเยซูเลยเตือนคนที่มาหาพระองค์
"เราบอกความจริงแก่ท่านว่า..."

พระองค์ให้ความจริงชันสูตรและเปิดเผยท่าทีของคน

ขอบคุณพระเจ้าที่วันนี้ได้อธิษฐาน นมัสการ
กลับมาหาพระองค์ นั่งฟังเสียงของพระองค์
พูดคุยกับพระองค์

พระเจ้าบอกว่า คุยกับพระเจ้า พระเจ้าจะให้ความจริง
พระองค์จะให้สัจจะ ที่จะทำให้เราเป็นไท

เวลาห่างไกลจากพระองค์
เราก็มีแนวโน้มจะห่างไกลความจริงของพระองค์

และเพราะเราไม่ได้ยินเสียงพระเจ้า ไม่มีทิศทางจากพระเจ้า
เราก็ต้องใช้การตอบสนองด้วยสมองและความคิดของเรา
คิดอะไร ทำอะไรแบบ มนุษย์ๆ แล้วก็เหนื่อยและสับสน
ก็มันเป็นคนละวิถีทางกันกับตอนที่เราใกล้ชิดพระเจ้านี่นา

ทัศนคติเริ่มเปลี่ยน เริ่มมองอะไรด้วยความไม่เข้าใจ
ไม่สว่างเหมือนเคย

ความจริงของพระเจ้าเปิดตาใจ ทำให้ทางสว่าง

มนุษย์นี่นะ
ทันทีที่เราห่างจากพระเจ้า
เราก็พร้อมจะหลง พร้อมจะงง พร้อมจะสับสน
พร้อมจะไม่ชอบ พร้อมจะท้อใจ พร้อมจะไม่เอาได้ตลอดเวลา

กลับมาหาพระเจ้า
ติดสนิทประจำวัน
เพื่อให้ความจริงของพระองค์เป็นหนทางและกำลังของเรา

เราบอกความจริงแก่ท่านว่า
นี่ไม่ใช่เคล็ดลับ แต่เป็นเงื่อนไขสำคัญ

5.25.2552

ข้างพระเจ้า

"ถ้าเช่นนั้น เราจะว่าอย่างไร ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครจะขัดขวางเรา"
โรม 8:31

วันนี้ไปนมัสการพระเจ้าที่โบสถ์ ด้วยอาการปวดเมื่อยตามตัว
สัปดาห์ที่ผ่านมา ไปต่างจังหวัีด ก็หาเวลานมัสการอธิษฐานส่วนตัวได้ไม่มากนัก
อยากได้ยินเสียงพระเจ้า และใกล้ชิด ติดสนิท รับการเติมเต็มในวันอาทิตย์นี้ล่ะ

พระเจ้าพูดด้วย...
เมื่อเราตั้งใจจะอยู่ฝ่ายพระเจ้า พระเจ้าก็จะทรงอยู่ฝ่ายเรา
ไม่จำเป็นต้องกลัว ไม่จำเป็นต้องสงสัย
เพราะพระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา

ตอนที่ไปต่างจังหวัด มีเรื่องให้เรียนรู้และกลับใจหลายเรื่องทีเดียว
เริ่มมีความรู้สึกกังวล เครียด ทนไม่ได้ อึดอัด กับอะไรบางอย่าง

เรื่องที่เรียนรู้ก็เรียนรู้ไป ทำไม่ได้ก็ต้องพึ่งพาพระเจ้าต่อ
เรื่องความอึดอัดบางอย่าง ก็ต้องหาทางแก้ให้ลงล็อค
ซึ่งการแก้ไขตอนนี้ก็คือรอคอยพระเจ้า

.......

พระเจ้าทรงเศร้าใจกับความรู้สึกมืดมน สับสน หวาดกลัว ไม่มั่นคง ท้อใจ หมดหวัง ชาชิน
ลูกของพระเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกแบบนั้น
เพราะพระเจ้าทรงเป็นแสงสว่าง ทรงเป็นความหวัง และทรงเป็๋นชัยชนะ

ความจำกัด ทัศนคติ และอะไรต่างๆ มากมาย
ทำให้มนุษย์ไม่สามารถหลุดออกจากที่ของเขา
มาพบเสรีภาพของพระเจ้าได้...

ความไม่เข้าใจ ไม่ยอมรับความจริง ก็ทำให้ใจปิด
และพระเจ้าจะไม่รุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวของใคร ถ้าเขาปิด

พระองค์เสียพระทัย เมื่อมีใครทำบาป ดื้อดึง
แต่พระองค์ทรงเศร้าใจ กับจิตวิญญาณที่มืดมนของคน

.......

หมี่สัมผัสความรู้สึกแบบนั้นจนน้ำตาไหล
ขนาดในช่้วงไม่กี่วันที่หมี่เองอึดอัด กังวล ไม่เข้าใจ มืด ดิ้นรน
ก็สัมผัสได้ว่าพระเจ้่าเศร้าใจ สงสาร
แต่พระองค์ปล่อยให้หมี่เผชิญ เพื่อการเติบโตในความจริงและลงลึกในความรัก
เผชิญกับผลของสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อการรู้จักพระเจ้าอย่างที่พระองค์เป็น

จิตวิญญาณผู้เชื่ออีกมากมาย ที่ยังมืด กลัว กังวล หมดหวัง (ซึ่งหลายคนก็ไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นแบบนั้น)
รวมถึงจิตวิญญาณของผู้ไม่เชื่อ ที่ดิ้นรน ต่อสู้ แสวงหา
พระเจ้าทรงเศร้าใจ และปรารถนาจะปลดปล่อยเขาเหล่านั้นด้วยความจริง

เศร้ามาก จนไม่อยากจะให้พระเจ้าต้องเศร้าเพราะเราอีก

สัญญากับพระเจ้าไปว่า
จะเป็นคนที่มีความสุข
มีแรงบันดาลใจจากพระเจ้าเสมอ
จะไม่กลัว ไม่มืด ไม่ท้อใจ
เรียนรู้ด้วยความเข้าใจ หวังใจ เชื่อ ไว้วางใจ
ไม่ให้พระเจ้าเศร้าใจด้วยความเป็นห่วงอีก

พระเจ้าคะ
ขอพระเจ้าขยายขอบเขตในจิตใจ...
ขอพระองค์ทรงขยายขอบเขตความรักแบบพระเยซู
ขอพระองค์ทรงขยายขอบเขตความเชื่อแบบเอลียาห์
ขอพระองค์ทรงขยายขอบเขตความไว้วางใจแบบอับราฮัม

พระเจ้าคะ
หมี่รู้ว่ามันยากมาก และมันจะยากขึ้นเรื่อยๆ
ที่เราจะรัก เชื่อ และไว้วางใจได้ในทุกๆๆๆ วินาที จนถึงวันที่เราได้เห็นสิ่งที่พระเจ้าจะทำ

แต่เพราะพระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา
ขอพระเจ้าทำให้เราได้เห็นเถอะนะคะ
และกว่าจะไปถึงวันนั้น ขอพระเจ้าทำให้เราเดินทุกก้าวด้วยรอยยิ้มและความมั่นใจนะคะ

พระเจ้าคะ รักพระองค์ที่สุดเลยค่ะ
ช่วยเราด้วยนะคะ
ขอบคุณค่ะ ขอบคุณพระองค์

5.18.2552

การสอน และการตีสอน

เราถูกสอนว่า เมื่อเราทำบาป พระเจ้าจะตีสอนเรา
แล้วเราก็ถูกสอนว่า เราเป็นคนบาป เราทำบาปได้ตลอดเวลา

บางที มันทำให้เวลาที่เราเจอปัญหา หรือความยากลำบาก
เราก็มานั่งสงสัยว่า พระเจ้าตีสอนเรา รึเปล่า

มาดูลักษณะการตีสอนของพระเจ้ากันหน่อย

ใน 2 ซมอ 12:1-13
นาธันมาเตือนดาวิด
เรื่องนางบัทเชบา
และพระเจ้าตีสอนเขา

2 ซมอ 24:1-17
ตอนที่ดาวิดนับอิสราเอล พระเจ้่าก็มาตีสอน
ดาวิดรู้ว่าพระเจ้าตีสอนในความหยิ่ง

กจ 5:1-11
ตอนที่อานาเนียและสัปฟีรา ล้มตาย
เราก็รู้ว่าสาเหตุคือการยักยอกเงินของพระเจ้า

คนที่สงสัยว่า พระเจ้าตีสอนรึเปล่าน้าาาาา
ในความเข้าใจของหมี่
ถ้าพระองค์จะตีสอนผู้ใด พระองค์ก็จะบอกเขาด้วย
ว่าพระองค์ตีสอนเขาด้วยเหตุใด
พระเจ้าไม่ใช่พ่อแม่ที่ไม่มีเหตุผลนี่นา อยากตีก็ตี ได้ที่ไหน
อยู่ที่ว่า เมื่อเรารับการตีสอนแล้ว..
เราจะยอมรับความผิดนั้นที่พระเจ้าบอกไหม

การสอนของพระเจ้าต่างกับการตีสอน

การตีสอนมักจะนำมาซึ่งความเสียใจ
กลับใจ เจ็บปวดในใจ
อับอายกับความบาปของตัวเอง
เป็นเหตุการณ์อะไรที่ "จังๆ"

แต่การสอน เป็นเรื่องของการเปิดเผยทีละขั้นตอน
ตามความรู้ ความเข้าใจของมนุษย์ผู้นั้น
หมี่คิดว่า พระเจ้าให้เราใช้สมองเพื่อคิดใคร่ครวญ หาเหตุผล
และใช้จิตใจ เพื่อฟังเสียงและการทรงนำของพระเจ้า
ประมวลออกมาเป็นความเข้าใจใหม่ ที่นำมาซึ่งการประพฤติใหม่

การเรียนรู้แบบนี้ ไม่นำมาซึ่งความเจ็บปวด หรืออับอาย
แต่อาจนำมาซึ่งความเสียใจบ้าง
เมื่อเราย้อนกลับไปมองการกระทำของเรา ในขณะที่ยังไม่โตพอ
มันอาจเกิดผลเสียอะไรบางอย่างกับคนบางคนหรือบางเรื่อง
แต่ด้วยความเข้าใจและกรอบที่จำกัด...
เราก็เลือกวิธีการที่ดีที่สุดเพื่อพระเจ้าได้แค่นั้น
เมื่อเราโตขึ้น เข้าใจมากขึ้น เราก็จะมีวิธีการจัดการสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้น
เป็นพระพรมากขึ้น

พระเจ้ารักเราและละเอียดอ่อนกับเรามากจริงๆ ค่ะ
คนที่เป็นเด็ก พระเจ้าก็สอนแบบเด็กๆ เพื่อให้เขาเป็นผู้ใหญ่
คนที่เป็นผู้ใหญ่ พระเจ้าก็สอนแบบผู้ใหญ่ เพื่อให้เขาเติบโตมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม..
สิ่งที่เกิดแล้ว ล้วนดี

การสอนหรือการตีสอนก็ล้วนเป็นบทเรียนที่สำคัญ
เป็นของจริง ผ่านมาจริงๆ
เป็นประสบการณ์ชีวิตจริง ที่ไม่มีใครเข้าใจ จนกว่าจะเจอเอง
(วันที่เขาเจอเอง บทเรียนของเราก็จะสอนเขาได้ไงคะ)

ทั้งการตีสอนและการสอน
ถ้าเราไม่เจอ เราก็ไม่เติบโต
หรือถ้าเราเจอ และไม่เลือกให้ถูกว่าจะผ่านมันอย่างไร
เราก็ไม่เติบโต หรือเติบโตแบบไม่จริง

สิ่งที่เกิดแล้วล้วนดีค่ะ...

5.12.2552

มั่นใจ

เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านชีวิตในความเข้าใจพระเจ้า
และเข้าใจโลกใบนี้อย่างที่มันเป็นจริงๆ

ไม่มีอะไรเลยที่สำคัญไปกว่าการสร้างคน
ปลดปล่อยคนและจิตวิญญาณของคนจากกรงขังที่เขาไม่รู้ตัว
...หรือรู้ตัวแต่หาทางหนีออกมาไมได้

สิ่งที่มองเห็น เป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น
เพิ่งเข้าใจและเห็นความสำคัญของถ้อยคำนี้ได้ไม่นาน

เมื่อวันที่ 2-4 พ.ค. ที่ผ่านมา
กับค่ายพันธสัญญา 2009 ค่ายครั้งแรกของ Nexus

ไม่น่าเชื่อที่เราพบพระเจ้าทุกครั้งที่ได้นมัสการ
พระเจ้ามาพูดด้วยทุกครั้ง
หนุนน้ำใจ ให้กำลังใจ ให้ความมั่นใจทุกครั้ง
และได้สัมผัสความรักอบอุ่นของพระเจ้าตลอดเวลา

พระเจ้าบอกว่า เราพอใจเจ้า
เป็นความยินดีในจิตใจอย่างยิ่งค่ะ

พระเจ้าทำให้รู้ว่า ชีวิตของเราจะไม่ได้อยู่แค่ในประเทศไทย
(แต่ว่าจะไปที่ไหน ก็คงต้องให้พระเจ้านำก้าวต่อก้าวค่ะ)

พระเจ้าทำให้รู้ว่า พระวิญญาณของพระเจ้าขับเคลื่อน ทำงาน
ประทานความสุขและความกล้าหาญให้เราอยู่ทุกเวลา

ยน3:1-12
ซึ่งบังเกิดจากเนื้อหนัง ก็เป็นเนื้อหนัง
ซึ่งบังเกิดจากพระวิญญาณ ก็เป็นวิญญาณ

จิตวิญญาณของหมี่อาจจะฟื้นมานานแล้ว แต่ว่ายังไม่เจริญเติบโต
ทำให้เราเข้าใจแต่อะไรที่เป็นเนื้อหนัง
ทำงานแบบนี้ ก็เลยออกมาเป็นผลลัพธ์แบบนี้
อยากเห็นผลแบบนี้ ก็ต้องคิดแบบนี้

ทั้งที่เรื่องจริงของจิตวิญญาณอยู่เหนือความคิดและความคาดหมายของมนุษย์เสมอๆ
ถ้าเอากรอบของมนุษย์มาคิด ก็มีสิทธิที่จะไม่เห็น ไม่เข้าใจ ไม่เชื่อ
เหมือนพระเยซู ที่ทรงตรัสและปฏิบัติอะไรหลายๆ อย่างเกินความเข้าใจของคนในเวลานั้น
Keyword ก็คือ จิตวิญญาณที่ติดสนิทกับพระบิดา ทำให้เรารู้จัก เข้าใจพระองค์
และสันติสุขในการทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า ก็ทำให้เรามีพลัง
กล้าหาญ ที่จะต่อสู้กับอะไรหลายอย่าง ที่ไม่เป็นเหมือนใจ

ความมั่นใจในพระเจ้าที่สถิตอยู่กับเรา ทำให้เรารู้ว่าเราเดินไม่ผิดทาง
แม้มนุษย์ทั้งโลก จะบอกว่าเรากำลังผิดทางก็ตาม

ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงทำให้หมี่มั่นใจในพระองค์มากขึ้นผ่านค่ายนี้ค่ะ

5.06.2552

การสนับสนุน

วันนี้ หลังจากที่กระวนกระวายอยู่หนึ่งแป๊บ
เพราะไม่ได้จ่ายค่า internet แต่ว่าต้องใช้ internet
ก็จบลงด้วยด้วยความวางใจ
และจบจริงๆ ด้วยการอวยพรที่น่ารักยิ่งของพระเจ้า

คุณอาไปที่บ้าน ไปทานข้าวเย็นกับคุณแม่
แล้วเกิดหงุดหงิดกับอาการใช้เน็ตไม่ได้
แม่ก็เลยจัดการรูดบัตรจ่ายให้ ในราคา 650 บาท

ขอบคุณคุณอา มามี๊ และขอบคุณพระเจ้าค่ะ

ก่อนหน้านี้ กำลังจะไม่มีเงินจ่ายค่าเดินทางและค่าที่พักไปค่าย
ค่ายที่ชื่อว่า Covenant Camp ค่ายครั้งแรกของโบสถ์เรา
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในค่ายก็ยังไม่รู้จะหาจากไหน
เงินเดือนยังไม่ออกตอนสิ้นเดือน

อยู่ดีๆ ก็มีบัตร First Choice ส่งมาให้ที่บ้าน
จำไม่ได้ว่าสมัครไปเมื่อไหร่
(สงสัยจะเป็น Quick cash ที่สมัครไปเมื่อ 3 ปีก่อน แปรรูปส่งมาให้ใหม่)
ที่พึ่งสุดท้าย ได้เป็นเงินอนาคตที่กดใช้แบบง่ายดาย
ไม่เคยคิดจะใช้ให้ยุ่งยาก แต่พระเจ้าก็จัดให้จนได้
ทำให้มีเงินใช้ตลอดค่ายได้แบบพอดีเป๊ะ

ตอนแรกเกือบจะไม่ได้ไปค่ายแล้ว
วันที่ 2-6 พ.ค. มีกิจกรรมของทีวีไทย
ท่องทั่วแดนไทย และทีมรายการเราต้องไปด้วย

น่าดีใจที่เอ่ยปากลางานล่วงหน้าก่อนรู้ตารางได้ไม่กี่วัน
มิฉะนั้น การขอลาหลังจากรู้หน้าที่ คงจะยาก

ขอบคุณพระเจ้าและโปรดิวเซอร์ของเราค่ะ

ขอบคุณทุกการสนับสนุนของพระเจ้า
ตอนนี้ก็รอคอยการสนับสนุนครั้งใหญ่จากพระองค์ต่อไป

เชื่อ หวังใจ ไม่กระวนกระวาย
พระเจ้าจะสนับสนุนลูกที่รักของพระองค์แน่
เป็นนิสัย (เรียกให้คุ้นเคยก็เป็นพระลักษณะ) ที่น่าีรักของพระองค์นี่นา

เรารออยู่นะคะพระเจ้า
การสนับสนุนของพระองค์

4.23.2552

วันแห่งการทรงเรียก

เมื่อวานนี้ อาจารย์กอล์ฟที่รักยิ่ง ผู้เต็มไปด้วยการเจิม มาสอนพระคัมภีร์ในชั้นเรียน DMM
แบ่งปันเรื่อง การรักษาไฟให้โชติช่วง
หนึ่งข้อที่เป็นเคล็ดลับในนั้น คือ รักษาการทรงเรียก

วันนี้เฝ้าเดี่ยวใน ยอห์น 1:15-28
พระธรรมที่เขียนโดยยอห์น บุตรเศเบดี
ในช่วงที่กล่าวถึง ยอห์น บุตรเศคาริยาห์

ยอห์นผู้เบิกมรรคาของพระเยซูคริสต์ ทำให้นึกถึงคำว่า
"การทรงเรียก"

เขากล่าวกับคนของฟาริสีอย่างชัดเจน ว่าเขาเป็นใคร
ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ เพื่ออะไร

ตอนที่พระเยซูเดินทางมาหาเขา
ยอห์นรู้ ตระหนักรู้ แม้ไม่รู้จัก (29-31)
และเขาพูดเป็นพยานให้แก่พระเจ้า

ในลูกา พูดถึงตอนที่ยอห์นมาเกิดในครรภ์ของนางอลิซาเบธ
ว่า เขามีพระวิญญาญบริสุทธิ์ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา (ลก 1:15)

พ่อของเขาเผยพระวจนะถึงลูกของเขาว่าเป็น ผู้เตรียมมรรคา
โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ลก 1:67)

ยอห์นถูกฆ่าโดยการตัดศีรษะ ในเวลาไม่นานหลังจากนั้น
แต่ชีวิตที่รู้และเดินตามการทรงเรียกที่ชัดเจนจากพระเจ้า
ทำให้เขาได้รับเกียรติจากพระเจ้ามากมายเหลือเกิน

เรียนรู้จากยอห์นว่า การทรงเรียกมาควบคู่กับพระวิญญาณบริสุทธิ์
พาชีวิตไปสู่การทรงเรียกสำคัญเพียงหนึ่งอย่าง เตรียมมรรคาของพระเจ้า
ชีวิตของเขาก็มีผลนับร้อย นับพัน นับไม่ถ้วน ในระหว่างทางด้วยซ้ำ
เริ่มต้นตั้งแต่ในครรภ์

.
.
.
.

การทรงเรียกของหมี่ ชัดเจนเมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 เมษายนค่ะ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา...พระเจ้าพาหมี่เดินมาด้วยเหตุการณ์
การอวยพรที่เกินความคาดหมาย
พระวจนะ สัจจะของพระองค์
พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เร้าในจิตใจ
และคำเทศนาจากผู้นำที่เต็มไปด้วยการเจิม

พระเจ้ามาย้ำการทรงเรียกอีกครั้ง
ด้วยเสียงอันชัดเจน พร้อมกับความไว้วางใจอย่างเกินความเข้าใจ

ตอนนี้อาจจะยังไม่รู้ ไม่เห็นภาพว่าหมี่จะเป็นอะไรในวันสุดท้าย
แต่การทรงเรียกของพระเจ้าพาหมี่ดำเนินชีวิตไปในแต่ละวัน
เป็นการทรงเรียกที่บอกให้เติบโตในสัจจะของพระเจ้า
เติบโตในการรักคนอื่นให้มากและมากขึ้น
เติบโตในการดำเนินชีวิตอย่างติดสนิทและกล้าหาญ

ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
มั่นใจขึ้นเรื่อยๆ
แล้วก็ดูยากมากขึ้นเรื่อยๆ

หมี่มั่นใจว่าหมี่เดินตามเสียงพระเจ้ามาเรื่อยๆ กำัลังเดินอยู่
และจะเดินต่อไปถึงการทรงเรียกสูงสุด...
โดยพระองค์ที่ทรงสถิตอยู่จะพาหมี่ไป
ไม่ว่าจะเจออะไร
ก็ขอให้หมี่อยู่ในเส้นทางแห่งการทรงเรียกของพระองค์ตลอดเวลานะคะ

ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ประทับอยู่ตลอดเวลา่
ดั่งเมื่อครั้งที่พระองค์ทรงประทับอยู่ในครรภ์นางอลิซาเบธ
ในชีวิต ในจิตใจ ในจิตวิญญาณของยอห์น

ขอบคุณพระเจ้าค่ะ...
รักพระองค์มากเท่าที่จะรักได้ในวันนี้
และจะรักพระองค์มากขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ

4.16.2552

สว่าง

เช้าวันนี้ (ที่จริิงก็ไม่เช้าค่ะ ประมาณ 11 โมงน่ะ)
ได้มีเวลายาวๆ ในการอธิษฐาน นมัสการ แึละใคร่ครวญกับพระเจ้า

พระเจ้่าให้เริ่มต้นอธิษฐานด้วยการขอบคุณ สรรเสริญ
และอธิษฐานเผื่อผู้รับใช้่ข้างๆ กาย ทั้งผู้นำ ลูกแกะ และ เพื่อน

ระหว่างอธิษฐาน
พระเจ้าให้เห็นภาพบางอย่าง
เป็นลูกกลมๆ ที่อยู่ในจิตใจของคนบางคน
มีผนังล้อมรอบ รอคอยแสงสว่างที่จะเข้ามา

คนหนึ่ง อยู่ในวงกลมนั้น กรงขังแห่งจิตใจของเขาเอง
กำลังตะเกียกตะกายที่จะออกมา
แสงสว่างที่ส่องเข้าไปเป็นรูเล็กๆ ก็นำมาซึ่งความหวัง
และอาจจะนำมาซึ่งพลังและแรงที่จะดิ้นรนต่อ

คนหนึ่ง ออกมาจากวงกลมแห่งจิตใจนั้นแล้ว
และกำลังวิ่งไปด้วยเสรีภาพ
แต่เธอยังคงสับสน ยังคงไม่มั่นใจ
ยังคงรอคอยการนำและการปลดปล่อยบางอย่างอยู่

คนหนึ่ง อยู่ในวงกลมที่ผ่าครึ่ง แต่เธอหันหลังให้กับทางออก
หันหน้าเข้าหาฝาผนัง โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันผิดทาง

เป็นเรื่องของเสรีภาพ แสงสว่าง และความจริง

ครั้งแรกในชีวิตที่พระเจ้าทำอะไรด้วยแบบนี้
ตื่นเต้นค่ะ... ตื่นเต้น

แล้วก็อธิษฐานนมัสการต่อไปเรื่อยๆ
พระเจ้าให้สัมผัสถึงความรู้สึกบางอย่าง...
การแบกกางเขนและการถูกตรึงของพระเยซู
ความอับอายที่พระองค์ไม่ได้ถือสาระ เพราะว่ามันคือน้ำพระทัย

แสงสว่างที่นำมาซึ่งความรู้สึกปลอดภัย
ยิ่งเติบโตกับพระเจ้า ก็ยิ่งรู้ว่าเรารู้อะไรน้อยมาก
สิ่งที่เรารู้ กับสิ่งที่เราเห็น แล้วก็ความกว้างขวางใหญ่ในทางที่กำลังจะเดินไป
มันค่อนข้างขัดแย้งนะ
เมื่อก่อนหมี่อาจจะกลัว แม้ทางแคบๆ ก็ยังกลัว
แต่ตอนนี้ พระเจ้าทำอะไรบางอย่างแล้ว...
ความกล้าหาญมาพร้อมกับความไว้วางใจในพระเจ้านะคะ
แม้ไม่เห็นอะไร ไม่รู้อะไร ก็ยังเดินไปได้ด้วยความสุข
เพราะรู้ว่าปลอดภัย และเราเดินไปกับพระองค์

พระเจ้าให้ความมั่นใจกับหมี่เสมอ
ไม่ใช่ด้วยสถานการณ์
ไม่ใช่ด้วยสิ่งที่ดีที่พระเจ้าประทานให้
แต่ด้วยความเ้ป็นพระเจ้าและความรักของพระองค์ที่สำแดงกับหมี่เสมอมา

วันนี้เปิดพระคัมภีร์ใน ยอห์น 1:1-5

พระเยซูเป็นพระวาทะของพระเจ้า
เรียนรู้จักพระองค์ พระวจนะของพระองค์

พระเยซูเป็นชีวิต และเป็นแสงสว่าง
นำพระวจนะของพระองค์มาเป็นชีวิต
แค่ท่องๆ จำๆ สอนๆ สั่งๆ มันคงไม่พอ
และนำชีวิตของพระเยซูมาเป็นชีวิต
แล้วชีวิตจะเข้าสู่แสงสว่าง
พระเยซูเป็นความสว่างของมนุษย์ทั้งปวง

ความสว่างสองเข้าไปในความมืด ความมืดไม่รู้จักความสว่าง
ก็ได้ความเข้าใจนะ
บางทีเรามองเห็นในบางสิ่ง แล้วเราพยายามสื่อสารกับบางคน
คนที่อยู่ในความมืด เขาไม่รู้จักความสว่าง ก็ไม่มีทางเข้าใจ

ค่ะ พระเจ้า มันอาจจะยากในการนำความสว่างไปให้คนที่อยู่ในความมืด
แต่หมี่รู้ว่า ทุกคนเป็นของพระองค์
วิธีการเป็นของพระองค์
ความจริงเป็นของพระองค์
และฤทธิ์เดชแห่งการปลดปล่อยก็เป็นของพระองค์

หมี่เป็นอุปกรณ์และเครื่องมือของพระองค์ค่ะ

4.11.2552

ครบ 5 ขวบ

ผ่านไป 1 สัปดาห์พอดี
นับจากวันที่รู้จักพระเจ้าได้ครบ 5 ปี
(04/04/04 วันที่พระเจ้าเข้ามาทำอะไรบางอย่างกับชีวิตของหมี่ครั้งแรกค่ะ)

นับกลับไป หนึ่งปี (กับไม่กี่วัน)
พระเจ้าได้ทำอะไรบางอย่างกับชีวิตมากมายเหลือเกิน

เวลาที่รู้สึกว่ามันเร็วมาก เมื่อปีที่แล้ว...
ยังเร็วเหมือนเดิม
แต่ว่าเริ่มมีช่วงชีวิตที่ก้าวช้าลง
เหนื่อยน้อยลง แต่มีความสุขมากขึ้น

ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา
พอชีวิตเริ่มเบาลงในการทำงานของมนุษย์ ตามความเข้าใจของมนุษย์
ก็ทำให้เห็นการเปิดเผยความเข้าใจอย่างมากมายจากพระเจ้าจริงๆ...

มิติใหม่ๆ ในการรับใช้
การเจิม
เสรีภาพในพระคริสต์
ความลับในพระวจนะ...

เริ่มเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ที่ไม่เคยเจอ
ในช่วงเวลาแค่ 3 เดือน

5 ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาแห่งการบ่มเพาะดีที่มากนะคะ
ขอบคุณพระเจ้า ที่เราโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นทุกวันและตลอดเวลา
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความเข้าใจที่เพิ่มพูนขึ้นทุกวัน
แม้มันจะดูน้อยนิด เมื่อเทียบกับความเข้าใจของคนบางคน
และยิ่งน้อยนิดเข้าไปอีก เมื่อเทียบกับสิ่งที่พระเจ้าเตรียมไว้สำหรับหมี่

วันเกิดฝ่ายวิญญาณปีนี้ ไม่ได้มีใครมาอวยพรให้ (เหมือนทุกๆ ปีนั่นแหละ)
แต่หมี่ขอพระเจ้าอวยพรเรื่องความกล้าหาญ สติปัญญาอันเกินความเข้าใจ
และการเจิม ที่หาไม่ได้จากการรับใช้แบบมนุษย์ๆ นะคะ

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกเรื่องราวนี้โลกใบนี้
หมี่รักพระองค์ และจะรักมากขึ้นทุกปี ทุกวัน

ยชว 1:9
จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิอ อย่าตกใจหรือคร้ามกลัวเลย
เพราะว่าเจ้าไปในถิ่นฐานใด
พระเยโฮวาห์ พระเจ้าของเจ้า ทรงสถิตย์กับเจ้า

4.06.2552

พระองค์ทรงเป็น

"เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น"
พระเจ้าตรัสคำนี้่กับโมเสส เมื่อนานมาแล้ว

เวลาที่เราจะรักใครสักคน
ถ้าเรารักเขาที่เขาทำดีกับเรา
วันที่เรารู้สึกว่าเขาไม่ให้เราแล้ว เราก็จะไม่รัก
ถ้าเรารักเขาเพราะเขารักเราก่อน
วันที่เราสัมผัสความรักของเขาไม่ได้ เราก็จะไม่รักเขา

แต่ถ้าเรารักใครสักคนอย่างที่เขาเป็น
วันที่ไม่เหลืออะไรเลยในชีวิต
วันที่หน้าตาไม่ได้ดูดีแบบเดิมอีกต่อไป
วันที่มีปัญหา วันที่ทะเลากัน
ความรักจะยังเหมือนเดิม
......

พระเจ้ารักเราอย่างที่เราเป็นใช่ไหมคะ
.......

พระเจ้าทรงเป็นพระองค์ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
พระเจ้า่เป็นอย่างไรกับโมเสส พระองค์ทรงเป็นเช่นนั้นกับเรา

แค่สิ่งที่พระเจ้าเป็นกับเรา กับทุกคน
ก็เพียงพอที่จะให้เรารักได้อย่างไม่มีคำบรรยายแล้วค่ะ

หมี่ไม่เคยตอบตัวเองได้เลยนะ ว่าทำไมถึงรักพระเจ้า
มันไม่มีเหตุผลที่เฉพาะเจาะจง
หมี่รักพระองค์เพราะพระองค์เป็นพระเจ้่าของหมี่
แล้วพระองค์ก็ดีกับหมี่
พระองค์รักหมี่
พระองค์ให้ทุกอย่างที่ดีที่สุดกับหมี่
คือความเป็นพระองค์ทุกอย่างเลยที่ทำให้หมี่รัก
ก็เลยไม่ค่อยหวั่นไหว

เรียนรู้จักพระเจ้าให้ลึกมากขึ้นทุกวัน
และรักพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็น

เท่านี้ก็เพียงพอที่จะมั่นใจและมั่นคงในการใช้ชีวิตแล้วค่ะ

3.28.2552

ถ่อมใจ

วันนี้เฝ้าเดี่ยวในช่วงชีวิต peak ของเปโตร
ช่วงกำลังจะปฏิเสธพระเยซู 3 ครั้ง

มธ 26:30-35
พระเยซูขึ้นไปบนภูเขามะกอกเทศกับสาวก
และตรัสว่า สาวกจะทิ้งพระองค์

ในพระคัมภีร์ื KJV พระเยซูพูดว่า พวกท่านจะ "สะดุด" เพราะเรา
เหมือนกับมีคนทำให้สะดุด ชะงัก เพราะพระเยซูเป็นเหตุ (ไม่ใช่พระเยซูทำนะคะ)

แล้วเปโตรก็บอกว่า "แม้คนทั้งปวงจะสะดุดเพราะพระองค์ ข้าพระองค์จะสะดุดก็หามิได้เลย"
แล้วเปโตรก็ปฏิเสธพระเยซูไป 3 ครั้ง ทั้งที่ถูกเตือนแล้ว


เป็นไปได้ไหม ว่าเราเองก็สะดุด ชะงัก หกล้ม ไปหลายๆ ครั้ง
ทั้งที่เคยมั่นใจในตัวเองดีแล้ว ว่าเราโอเค
สำหรับหมี่ ถ้าบอกว่าเราจะทิ้งพระเจ้านะ ยังไงก็ยืนยันได้ 100% ;่าไม่มีทาง
แต่ถามว่า สะดุด ชะงัก เนี่ยมีบ้างไหม

ตอนนี้ก็มั่นใจดีอยู่ละนะ
แต่ว่าอารมณ์เปโตรมันมีก็มีมาเตือนเราเรื่อยๆ
พระเจ้าก็เตือนในใจว่า อย่ามั่นใจเกินไปนัก
ระวังจะสะดุดหกล้ม
-_-

รับทราบค่ะพระเจ้า
ช่วยหมี่ด้วยนะคะ

3.24.2552

ความรับผิดชอบ

เพื่อนเอาหนังสือมาให้เล่มหนึ่ง
Hope from my Heart : Ten Lesson for Life
Rich Devos
(ขอบคุณมากนะ)

มีบทเรียน 10 ข้อที่เป็นคุณค่าของชีวิต ส่งผลต่อทุกสิ่งทุกอย่าง
หนึ่งในนั้น ที่เพิ่งอ่านจบวันนี้ คือเรื่องของความรับผิดชอบ
Rich ยกพระวจนะของพระเจ้ามา ในมธ. 25:29
"ด้วยว่าผู้ใดมีอยู่แล้วจะเพิ่มเติมให้ผู้นั้นจนมีเหลือเฟือ
แต่ผู้ที่ไม่มี แม้ว่าซึ่งเขามีอยู่ก็จะต้องเอาไปจากเขา"

มนุษย์ปกป้องตัวเองกันมากมายเหลือเกิน
กล้าทำ แต่ไม่กล้ารับผิด
หรือบางทีไม่กล้าจะรับผิดชอบ ก็เลยไม่กล้าทำอะไรเลย

ทำให้สิ่งดีๆ หลายอย่างก็ไม่เกิดกับชีวิต
แล้วก็โทษโชคชะตา โทษสิ่งต่างๆ

ทั้งที่หลักการนิรันดร์คือ รับผิดชอบในทุกสิ่ง แล้วคุณจะได้เพิ่มเติมจนเหลือเฟือ

วันนี้เฝ้าเดี่ยวกับพระเจ้า ก็เปิดเจอใน มธ. 25:14-30
(ต่อจากคราวที่แล้ว ไม่ได้ตั้งใจ)
ทาส 3 คน กับเงิน 5, 2 และ 1 ตะลันต์

ช่วงนี้ มีงานเข้ามามากมายจริงๆ
นี่ยังไม่นับของใหม่ ที่กำลังจะเข้าไปวันจันทร์หน้านี้
หมี่ก็กลัวมากนะ ว่าจะทำไม่ได้ ทำไม่ไหว
แต่ลึกๆ ในใจก็รู้สึกว่า ดีใจนะ ที่ได้รับความไว้วางใจให้รับใช้พระเจ้ามากขึ้น
ถ้ามันจะมีส่วนช่วย มีส่วนสร้างจากมือเราได้่ ก็จะทำให้เต็มที่

จะกล้ารับผิด และจะรับชอบด้วยการถวายพระเกียรติแด่พระนามพระเจ้า
จะไม่ปกป้องตัวเองจากพระคุณพระเจ้า
และยิ่งมีมากขึ้นอีก ก็จะยิ่งทำให้ดีมากขึ้นอีก

พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่สุดยอดกับชีวิตของเราจริงๆ เลยล่ะค่ะ
รักพระเจ้า และจะรักพระเจ้ามากขึ้นทุกวันนะคะ

3.23.2552

น้ำมัน..

สัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นสัปดาห์แห่งปรากฏการณ์ใหม่ในชีวิต
พระเจ้าทำอะไรหลายๆ อย่างอย่างไม่น่าเชื่อจริงๆ

หลังจากที่รู้จักคำว่า "เสรีภาพ"
ก็เริ่มรู้จักคำว่าการเจิม
และเริ่มรู้จักการใช้ฤทธิ์เดชแห่งความจริง

เมื่อวานนี้พระเจ้าพูดด้วย
เร้าใจในเรื่องการรักพระเจ้่าสุดกำลัง

หมี่สัมผัสถึงการดิ้นสู้ ปล้ำสู้กับหลายๆ อย่างนะ
การเดินบนโลกนี้ให้มีความสุข มีเสรีภาพ มันต้องต่อสู้อะ
สู้กับตัวเอง สู้กับตัวเก่าของตัวเอง
สู้กับมารที่มันมาใส่ความคิดในหัวเราตลอดเวลา

บางคนรักพระเจ้าไม่พอ ก็ไม่สู้ซะอย่างนั้น
แล้ววันหนึ่งก็ตาย

พระเจ้าให้นึกถึงพระคัมภีร์ที่บอกว่า
"คือที่พระคริสต์ทรงสถิตในท่านอันเป็นที่หวังแห่งศักดิ์ศรี"
(แบบเต็มๆ อยู่ในโคโลสี 1:27)
พระคริสต์เป็นศักดิ์ศรี เป็นความหวัง และเป็นมงกุฏของผู้เชื่อจริงๆ นะ

เพราะพระเจ้าอยู่กับเรา เราเลยดีพอและมีความสุขกับชีวิตได้
รู้สึกขอบคุณพระเจ้าอย่างรุนแรง

แล้วเมื่อคืนก็เฝ้าเดี่ยว
อยู่ๆ ก็รู้สึกว่า ถ้าเราทำสิ่งต่างๆ แบบมีการเจิม แล้วเห็นสิ่งดีเกิดขึ้นเยอะๆ
วันหนึ่ง เราจะหยิ่งไหมเนี่ย
แล้วเราจะรักษความรู้สึกแบบนี้ การเจิมแบบนี้ไปได้นานแค่ไหน
ก็เลยถามพระเจ้าว่า จะทำยังไงให้การเจิมอยู่ตลอดไป...

พระเจ้าตอบว่า บัญญัติข้อใหญ่ 2 ข้อนั้นน่ะ ให้รักษาเอาไว้
รักพระเจ้าสุดจิตสุดใจ และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง

แล้วก็เปิดพระคัมภีร์ให้พระเจ้าพูดด้วยชัดๆ อีกรอบ

มธ.25:1-13 เป็นเรื่องราวของหญิงพรหมจารี 10 คน
5 คนที่โง่ และั 5 คนที่ฉลาด...
เรื่องนี้พูดถึงการเตรียมชีวิตเพื่อรอวันที่พระเยซูเสด็จกลับมา

แต่พอเราอ่านไปถึงน้ำมัน ก็นึกถึงการเจิมขึ้นมานะ (ในพระคัมภีร์ น้ำมันก็หมายถึงการเจิมล่ะ)
ตะเกียง ก็นึกถึงการเป็นแสงสว่างในโลก เป็นพระต่อคนอื่น

จริงๆ นะ ถ้าเราไม่แสวงหาไขว่คว้าการเจิมในชีวิต
แสงสว่างของเรามันก็จะดับเร็ว
แล้วเมื่อวันที่พระเจ้าอยากจะใช้เราเป็นพรกับคนอื่น
เราก็จะพลาดโอกาสนั้นไป เพราะเราไม่พร้อม

พระเจ้าน่ารักเสมอ
อยู่ใกล้ๆ พระเจ้าแล้วชีวิตมันดูเป็นชีวิต
โลกมันสว่าง
อะไรๆ ก็ดูเป็นเรื่องดี
แม้มีอะไรที่ไม่ดี เราก็จะสบายดี

ขอบคุณพระเจ้ามากๆ เลยค่ะ

3.21.2552

สัตย์ซื่อ

คำถามคลาสสิคที่หลายๆ คนเคยสงสัย
(แล้วผู้นำก็ชอบถาม ทดสอบความเข้าใจลูกแกะ)
สัตย์ซื่อ กับ ซื่อสัตย์ ต่างกันอย่างไร...

ตอบได้ไหมคะ

มธ 24:45-51
เกี่ยวกบผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อ และไม่สัตย์ซื่อ

ผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อคือนายตั้งให้รับผิดชอบการงาน
และเมื่อนายมา ไม่ว่าเมื่อไหร่ ก็เห็นการทำงานอย่างดีของเขา

ผู้รับใช้ที่ไม่สัตย์ซื่อ จะคิดว่า เดี๋ยวนายมาแล้วค่อยทำ

เนื่องจากว่าพระเจ้าจะมาเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้
คนที่บอกว่า รอพระเจ้าใกล้กลับมาก่อน
รอใกล้ตายก่อน...ค่อยตัดสินใจรับใช้พระเจ้า
รอคนเห็นก่อน...ค่อยทำดี
รอมีคนสั่งก่อน...ค่อยเริ่มต้น
รอ...
รอ...
อันนี้เรียกว่าไม่สัตย์ซื่อ

สัตย์ซื่อจึงมีความหมายมากกว่าซื่อสัตย์มากนัก


หมี่คิดว่าการสัตย์ซื่อในชีวิตของคนที่เป็นลูกพระเจ้า
มันไม่ใช่แค่คุณทำอะไร
แต่้มันคือ คุณคิดกับสิ่งที่ทำนั้นอย่างไร
คุณทำมันตอนไหน เป็นเวลาที่ดีที่สุดแล้วรึเปล่า
แล้วมันครบไหม กับสิ่งที่พระเจ้าให้ดูแลรักษาทั้งหมด

ข้อ 47 :
เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า
"นายจะตั้งเขาไว้ให้ดูแลบรรดาข้าวของของท่านทุกอย่าง"
เป็นของขวัญสำหรับความสัตย์ซื่อ

แว่บแรกคิดว่า
โอ้ งานรับใช้จะมากขึ้นอีกเหรอคะพระเจ้า
จะไม่ไหวเอานาาาาาา
แต่คิดแบบนี้มันถูกที่ไหนล่ะ -_-

หมี่คิดว่าพระเจ้าพูดถึงการครอบครองนะ
การมีมากขึ้นเพื่อที่จะใช้ดูแลคนอื่นได้มากขึ้น
แน่นอน มันจะตามมาด้วยความรับผิดชอบ

แต่คนที่สัตย์ซื่อ พระเจ้ารัก
แล้วผู้รับใช้ผู้นั้นก็จะเป็นสุข (ข้อ 46)

^_^

3.19.2552

เสรีภาพและความจริง

เคยสงสัยตัวเองอยู่หลายๆ ครั้ง
ว่าเราเป็นคนที่โลเล หันไปเหมากับความคิดของมนุษย์ได้ง่ายๆ เกินไปไหม

พักหลังๆ ยิ่งรู้สึกง่ายๆ ว่าตัวเอง "สับสน" กับสิ่งที่เป็น สิ่งที่ทำ
ความรู้สึกสับสนกับตัวเอง เป็นความทรมานอย่างหนึ่งเหมือนกันนะ
ตกลง อะไรมันถูก หรือมันผิดกันแน่วะ (กับตัวเอง )
อะไรใช่ไม่ใช่คะ (อันนี้พูดกับพระเจ้า)

เมื่อวานนี้มีการอธิษฐานกลุ่มสมาพันธ์พันธกิจความหวัง
ไปร่วมอธิษฐานด้วยความรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก
วนไปวนมากับความคิดและความรู้สึก
ทรมานจริงๆ นะ
ไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน (ก่อนหน้านี้ได้ข่าวว่าพระเจ้าบอกให้อดทนละ -_-)
ก็คาดหวังอย่างรุนแรง ขอพระเจ้ามาเยียวยา รักษา ปลดปล่อย

อธิษฐานนมัสการไปสักพัก
มีเสียงขึ้นในใจ บอกว่า เรากำลังจะโตขึ้น กำลังจะต้องโตขึ้น

พระเจ้าเร้าใจให้อธิษฐานว่ืา ขอความจริงของพระเจ้ามาปลดปล่อย
รู้ว่าสิ่งที่จะรักษา่ความรู้สึกได้ คงต้องเป็นความจริงเที่ยงแท้จากพระเจ้าเท่านั้น

มีคำเผยพระวจนะ 2 เรื่องมาถึงที่ประชุม

กิ่งไม้กิ่งหนึ่ง ถูกลิดออกจากต้น
อาจจะดูเหมือนกำลังจะตาย แต่ไม่ใช่
เพราะพระเจ้าจะนำกิ่งนั้นกลับไปติดกับกิ่งที่ถูกเตรียมไว้
และจะมีชีวิตเกิดขึ้น จะเกิดดอกออกผล

ก้อนหินก้อนหนึ่ง มีต้นไม้ต้นเล็กๆ งอกออกมาจากก้อนหินนั้น
สิ่งที่ประหลาดคือ ก้อนหินที่แข็งกระด้าง ไม่มีชีวิต จะเกิดต้นไม้ได้อย่างไร...
.
.
ต้นไม้ต้นนั้นโตขึ้น และรากของต้นไม้ค่อยๆ แทงลงไปในก้อนหิน
มีน้ำที่รดลงไป
ก้อนหินค่อยๆ กลายเป็นดิน
พร้อมที่จะเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตใหม่

ก็อธิษฐานกับพระเจ้าทันที
รู้ว่าพระเจ้าพูดด้วยเรื่องอะไร
ขอพระวิญญาณและชีวิตที่มาจากพระเจ้า เข้ามาทำงาน ทำการปลดปล่อย
ทำการรื้อฟื้น ชุบชีวิตให้กับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต การทำงาน การรับใช้ การดูแลคน
ต่อสู้รับใช้ในฝ่ายกายภาพมานาน แล้วก็เหนื่อยและไม่เห็นอะไร
ขอพระเจ้าเทฤทธิ์เดชของพระเจ้าลงมา
ผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์

เพราะสมองและเรี่ยวแรงที่มี ก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว

... ช่วงที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างในชีวิต
ยอมรับกับตัวเองว่า กำลังมองเหล่าสิ่งนั้นเป็นความฝัน
สิ่งที่กำลังมีอยู่ถืออยู่ ก็เป็นเหมือนก้อนหินจริงๆ
ได้แค่ถือ...
แต่ทะลุทะลวงไปทำอะไรไม่ได้เลย

พระเจ้่ากำลังทำงานของพระองค์ และพระองค์จะทำในสิ่งที่เกินความคาดหมาย
การฟื้นฟูจะลงมาแน่ คนที่รู้จักพระเจ้า จะพร้อม จะรอคอย
และจะมีชีวิตอยู่เพื่อการทำงานร่วมกับพระองค์
ต่อสู้กับพระองค์

พระเจ้ามาพูดกับที่ประชุมผ่านการเผยพระวจนะอีกครั้ง

ม้าศึกนั้นมีพร้อมแล้ว
สิ่งดีที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ ก็มีอยู่ตรงหน้าแล้ว
แต่ขุนศึก กลับหายกระจายไป
บ้างไม่ยอมขึ้นหลังม้า
บ้างขึ้นหลังม้าแล้ว แต่ไม่บังคับม้าให้วิ่งออกไปเข้าสู่การต่้อสู้

เมื่อเราตัดสินใจจะเป็นขุนศึกของพระเจ้า
จงรู้ว่า พระเจ้าจัดเตรียมสิ่งดีที่จะร่วมรบกับเรา
หาให้เจอ เห็นคุณค่า และออกรบไปด้วยกัน

สิ่งที่พระเจ้าพูดด้วยก็เป็นคำตอบของหมี่มากๆ เลยนะ
ตั้งใจว่า จะอดอาหารอธิษฐาน
วางแผนงานและลงรายละเอียดชีวิตด้านต่างๆ
และใช้สิ่งที่มีทุกๆ อย่างที่พระเจ้่าให้ อย่างดีที่สุด
.
.
.
แต่มันยังไม่หายค่ะ พระเจ้าคะ

กลับมาบ้านอธิษฐานต่อ
ฟังเพลงนมัสการจนนอนหลับไป
บอกพระเจ้าว่า ตื่นมาแล้วขอให้หายนะคะ

ตื่นมาด้วยอาการเหน็ดเหนื่อย เพราะนอนน้อยมา 2 วันละ
ตอนที่ลุก ก็ต้องตัดสินใจอยู่นาน
ตัดสินใจที่จะลุก ตัดสินใจที่จะไม่รู้สึกอะไรอีก

ระหว่างนั่งรถไปทำงาน ก็มีบางสิ่งผุดขึ้นมาในใจ
เสรีภาพจะเป็นสิ่งที่ช่วยเรานะ...

เปิดพระคัมภีร์อ่านบทเพลงคร่ำครวญบทที่ 4 ต่อจากเดิมจนจบ
เพื่อเป็นการไม่เสียเวลา

หลังจากนั้นคิดว่า อยากจะกลับไปอ่านพระคัมภีร์ใหม่บ้าง (เพราะเอเสเคียลยาวเหลือเกิน -_-)
ก็เปิดดูใน PPC เป็น list พระคัมภีร์
แล้วอยู่ดีๆ ก็ตัดสินใจอ่านกาลาเทีย

เปาโลพูดกับคริสตจักรของกาลาเทีย เรื่องการเป็นทาสธรรมบัญญัติ
ไม่ได้เห็นด้วยกับการเข้าสุหนัต ออกจะคัดค้านด้วยซ้ำ
กับพวกที่ทำๆ กันเป็นประเพณี

ให้มีเสรีภาพโดยพระวิญญาณ
มีเสรีภาพกับพระเจ้า โดยการไถ่ของพระเยซูคริสต์
ไม่ใช่ชอบธรรมด้วยธรรมบัญญัติและการทำตามๆ สิ่งที่มนุษย์คิดว่าดี

คงต้องอาศัยการรื้อฟื้นสักระยะ
จากชีวิตที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติมายาวนาน
เปลี่ยนแปลงเป็นชีวิตที่ควรคู่กับฤทธิ์เดช มีสันติสุข
อาจจะต้องมีกระบวนการและการช่วยเหลือจากพระเจ้าแบบพิเศษๆ ล่ะนะ

แต่ไม่เป็นไรค่ะ
พร้อมที่จะโต
พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง
ขอพระเจ้าช่วยเหลือนะคะ
.
.
.
.

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับคำตอบทุกๆ คำนะคะ
รักพระเจ้ามากๆๆๆๆๆ ขึ้นทุกวันเลยค่ะ

3.16.2552

อดทน...รอคอย

เืมื่อวานนี้ ไปนมัสการพระเจ้าด้วยอาการป่วยๆ
ปวดหัว ไข้ขึ้นตึ้บๆ ตั้งแต่คืนวันเสาร์

แต่ก็คาดหวัง...
คาดหวังในความป่วยนั่นแหละ
อยากให้้พระเจ้าพูดด้วย
ขอคำตอบและการทรงนำแบบ..ชัด ชัด

บางที การเลือกในสิ่งที่ดีที่สุด ในความจำกัดของเรา
เท่าที่สมองและความเชื่อจะไปถึงได้
ก็แสดงความเป็นผู้ใหญ่นะ
มันยากกว่าที่จะมาเดินตามคำสั่งอยู่แล้วล่ะ
แต่ก็ท้าทายและน่าตื่นเต้นมากกว่า
สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต
และสร้างจิตใจที่มั่นคงแข็งแรง

พระเจ้าบอกว่า
...เชื่อ...
...วางใจ...
พระเจ้าจะนำไปก้าวต่อก้าว
มีจิตใจที่ถูกต้อง
อย่าใช้สมอง ความคิด เหตุผลของมนุษย์
จนลืิมที่จะเชื่อ....

กับยุคสุดท้ายนะ
การล่อลวงคงมีมาก
ความยากลำบากก็มีมาก

แต่ มธ 24:13 บอกว่า
"แต่ผู้ที่ทนได้จนถึงที่สุด ผู้นั้นจะรอด"

ผู้ที่รอคอยพระเจ้า ก็จะได้สิ่งที่ดีที่สุดเช่นกันนะ

3.11.2552

สติปัญญา & ความจริงใจ

หนึ่งเรื่องที่เป็นปัญหาของตัวเอง
ฟังดูอาจเหมือนไม่ใช่ปัญหา
แต่ดันสร้างปัญหา
ก็คืออาการ "จริงใจเกินไป"

ทำให้เรื่องที่ไม่ควรพูดหลายเรื่อง ก็หลุดออกจากปากไปเฉยๆ
ถ้าคุยกับเพื่อนหรือกับญาติพี่น้องคงไม่มีปัญหาอะไรมากนัก

แต่ถ้าติดต่อธุรกิจหรือให้คำปรึกษาคน
การที่จะพูดทุกเรื่องไปเรื่อยๆ แบบไม่ผิดบัง
อาจจะนำมาซึ่งความเสียหายได้อย่างง่าย

ซึ่งจะว่าไปแล้ว... ก็มีประสบการณ์ขั้นน้ำตาไหลไปหลายที

และก็มีหลายๆ ครั้งที่คิดว่า ผิดหรือไงที่เราเป็นแบบนี้
ก็อย่าเอาเราไปติดต่อธุรกิจ ได้ไหมล่ะ

.
.
.
.
.

วันนี้เปิดพระคัมภีร์อ่านใน มธ 22:15-22
พระเยซูกับฟาริสี คุยกันเรื่องการเสียส่วย...

พระเจ้าสอนเรื่องสติปัญญาผ่านตอนนี้เลยค่ะ

1.พระเยซูรู้จักฟาริสี (18)

ในพระคัมภีร์เขียนว่า พระเยซูล่วงรู้ถึงความชั่วร้ายของเขา
ไม่น่าจะใช่อารมณ์แบบว่า พระเจ้าพูดเจาะจงว่าคนนี้ชั่วร้าย
ฟาริสีเองก็เข้ามาด้วยคำพูดที่ดี วัตถุประสงค์ที่ดูเหมือนดี
แต่พระเยซูวินิจฉัยคนเป็น อาจจะเคยเจอกันแล้วจำได้ก็ได้
หรือไม่ก็สังเกตแววตา สีหน้า น้ำเสียงที่ซ่อนอยู่ได้
ซึ่งเราเอง ถ้าหากเรียนรู้จักสังเกตพฤติกรรมคนอื่นๆ ก็จะวิเคราะห์ได้
ใครมาดี มาร้าย จะได้ตอบสนองถูก

2.พระเยซูตรงไปตรงมา (18)
ไม่โกหก ไม่แกล้งพูดดีด้วย
พูดสิ่งที่เป็นจริง...
หมายความว่า การมีสติปัญญา ไม่ใช่การหลีกเลี่ยงความจริง
หรือรักษาสถานการณ์ตรงหน้า่ให้ดูดี

3.พระเยซูช้าในการคิดและตรึกตรอง (19)
พระเยซูน่าจะรู้นะ ว่าเหรียญในสมัยนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร
แต่พระองค์ก็ถาม และให้เอาเหรียญมาให้ดู
สังเกตว่าหลายๆ ครั้ง พระเยซูไม่ได้ตอบเลยทันทีรวดเร็วทันใจ
...
ไม่เหมือนเรา

4.พระเยซูตอบกลับแบบ Mega Clever ฉลาดสุดๆ (21)
ให้เห็นภาพเห็นหลักฐานกันไปเลย คือมีการให้เอาเหรียญมาดูก่อน
แล้วก็ถามกลับ ให้ฟาริสีตอบ
การย้อนถามกลับนี่พระเยซูใช้บ่อยนะคะ
น่าเอาไปลองใช้
...
แล้วก็ตอบโดยเอาคำตอบจากฟาริสีนั่นแหละ มาใช้ซะ
ก็คุณตอบออกมาจากปากคุณเองนี่นา

5.พระเยซูทำให้คนอึ้ง (22)
การตอบที่ฉลาดๆ แบบพระเยซูก็เป็นเหมือนอาวุธ
ใช้ต่้อกรผู้ที่คิดร้ายกับเราให้หงาย
ไปต่อไม่ถูกเลยทีเดียว

.
.
.
.

ทั้งนี้ทั้งนั้น สรุปแล้วพระเจ้าสอนว่า
"ฉลาดเหมือนงู แต่อ่อนสุภา่พเหมือนนกพิราบ"
เพิ่งมีพี่คนหนึ่งมาหนุนใจด้วยคำนี้

จริงใจได้เต็มที่ แต่ต้องมีสติปัญญา
พระเยซูไม่ได้โกหก ไม่ได้พูดร้ายปลิ้นปล้อนสักคำเดียว
แต่ก็ทำเอาศัตรูแพ้ยับไปหลาย

ไม่ต้องเอามาอ้างนะ คนละเรื่องกันเลย หมี่เอ๋ย

3.08.2552

ลงน้ำลึก

เมื่อวันก่อนได้อธิษฐานกับพี่น้องถึงหัวข้อหนึ่ง
คือให้เราเรียนรู้จักความรักที่ลึกซึ้งของพระเจ้ามากขึ้น

รู้สึกสะกิดใจ
เมื่อได้ยินพี่น้องข้่างๆ อธิษฐานประมาณว่า
"ขอให้เรากล้าที่จะก้าวไปในน้ำลึกแห่งความรักของพระเจ้า
แม้ว่าจะเหยียบไม่เจอพื้นดิน"
เคยได้ยินหลายครั้ง เรื่องการก้าวไปที่น้ำลึกในความรักพระเจ้า
แต่ไม่เคยเห็นภาพ เพราะว่าไม่เคยคิดว่าลึกแบบจะต้องจม
ลึกยังไงก็คงแค่ลึกกว่าเดิม แต่ยังยืนถึง

ถ้าเป็นความลึกที่แบบ ก้าวไปไ่ม่เจอพื้น แล้วก็ต้องจมน้ำ
ความรู้สึกคงแตกต่าง ไม่ได้ง่ายเหมือนเดิมในการที่จะเรียนรู้จักความรักพระเจ้าที่ลึกขึ้นไปอีก

ประสบการณ์ที่ผ่านมา แต่ละครั้งที่ได้เรียนรู้จักความรักพระเจ้าหรือได้เปิดความเข้าใจอะไรใหม่ๆ
มีหลายๆ ครั้งทีเดียว ที่้ต้องเจอกับความรู้สึกที่ไม่อยากเจอ
ความผิดหวัง ความล้มเหลว การตัดสินใจ ความเศร้า ความเสียใจ ความอับอาย
แต่เมื่อเราผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่ได้ คุ้มค่ากับบทเรียนที่ตัดสินใจผ่าน
การกล้าี่จะก้าวลงสู่น้ำลึก
คงหมายถึงการยอมที่จะละทิ้ง "ความกลัว" จมน้ำ และ้เราตัดสินใจเดินต่อไป ทำต่อไป

วันนี้พระเจ้าพูดด้วยผ่านการนมัสการว่า
"อย่ากลัว"
อย่ากลัวที่จะเจอกับปัญหา สถานการณ์ การตัดสินใจ
อย่ากลัวที่จะลงน้ำลึก แม้ไม่เจอพื้นดิน
อย่ากลัวที่จะเจ็บปวด
อย่ากลัวที่จะอับอาย
อย่ากลัวที่จะเรียนรู้จักความรักที่ลึกมากกว่าเดิม

2 ทธ 1:7
"เพราะว่าพระเจ้ามิได้ทรงประทานจิตที่ขลาดกลัวให้เรา
แต่ได้ทรงประทานจิตที่กอปรด้วยฤทธิ์ความรัก"
และการบังคับตนเองให้แก่เรา

มั่นใจหน่อยนะ

ยชว 1:9
"เราสั่งเจ้าไว้แล้วไม่ใช่หรือว่า จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด
เพราะว่าเจ้าไปในถิ่นฐานใด พระเยโฮวาห์ พระเจ้าของเจ้าทรงสถิตย์กับเจ้า"

3.07.2552

Wings

We've got to fly, fly
We're gonna spread our wings
and fall into the sky

เป็นท่อนหนึ่งจากเพลงหนึ่งที่ชื่อว่า Give What You've Got
ของ Delirious? วงดนตรีคริสเตียนในดวงใจ
เป็นเพลงเร็วนะ
แต่ฟังแล้วรู้สึกดี แอบซาบซึ้ง

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ตอนนมัสการ คำหนึ่งที่ดังในใจก็คือ "ปีก"
เหมือนนกบิน
บนท้องฟ้า
ดูมีอิสระเสรีภาพมาก
มองเห็นทางได้ไกลๆ
แล้วก็ไม่ร่วง เวลาพลัดหล่น

ถ้าเราใช้ชีวิตเหมือนมีปีกได้ก็ดี
ถ้าเรามั่นใจตลอดเวลาได้ว่า ปีกของแข็งแรง มั่นคง ต่อติดสนิท
และมีประสิทธิภาพเกินขีดจำกัด จิตใจก็คงจะแข็งแรงดี

นั่นแหละ
พระเจ้าเป็นปีกแบบนั้น

"แต่เขาทั้งหลายผู้รอคอยพระเจ้าจะเสริมเรี่ยวแรงใหม่
เขาจะบินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี
เขาจะวิ่งและไม่เหน็ดเหนื่อย
เขาจะเดินและไม่อ่อนเปลี้ย"
อสย 40:31

2.24.2552

ความคิดแง่บวก

เรียนพระคัมภีร์เรื่องความคิดแง่บวกมาเมื่อหัวค่ำวันนี้
เป็นบทเรียนที่หนุนน้ำใจ กระตุ้นหัวใจ ให้แรงบันดาลใจ
และย้ำเตือนให้กลับใจอย่างจริงจัง...

เมื่อวานนี้ เป็นอีกหนึ่งวันที่มีอาการปวดหัวอย่างไม่รู้สาเหตุ
หิวก็ปวด อิ่มก็ปวด นอนน้อยก็ปวด นอนเยอะก็ปวด
ก็ตัดสินใจนอนแต่หัวค่ำ
ปรากฏว่าตอนเช้าเลิกปวดหัว...
แต่ปวดหลังแทน -_-"
ไม่รู้ว่าเป็นอะไรหนักหนานะ

ก็คงถึงเวลาปลดปล่อย
คิดว่าพระเจ้าพูดด้วยอย่างต่อเนื่องมาหลายวัน
และวันนี้ถึงวันที่ต้องตัดสินใจ

มธ 14:22-36
พระเยซูดำเนินบนทะเล แล้วเปโตรก็อยากเดินไปหา
แต่เกิดสงสัยกลางคัน ก็เลยเกือบจะจมทะเล
(ดีนะ พระเยซูคว้าไว้ทัน)

ความเป็นมนุษย์ของเรา เมื่อเดินในทางที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้เดินในชีวิตนี้
บางทีมันก็เกิดอาการหวั่นไหวกันบ้าง
ความหวั่นไหวที่กลายเป็นความสงสัย คงทำให้เราไม่ปลอดภัยนัก
ดีที่มีพระเจ้าอยู่ข้างๆ คอยตบ คอยจูงให้เราเข้าที่เข้าทาง

มธ 16:6-12
พระเยซูเตือนสาวกเรื่องเชื้อความคิดที่ไมถูกต้องของฟาริสี
สาวกกลับคิดว่าเป็นเชื้อขนมปังซะนั่น

ความคิดที่ไม่ถูกต้องเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น
จับต้องไม่ได้
ทำให้การระวังตัวบางทีก็ทำได้ยากเย็น
เหมือนเชื้อไวรัส (แต่ที่จริงเชื้อไวรัสมองเห็น ถ้าส่องกล้อง)
มาแบบไม่รู้ตัวและแพร่กระจาย

เป็นเรื่องยากนะ
ที่เราจะปรับเปลี่ยนความคิดของเราให้ถูกต้อง ดี เหมาะสม
และคิดบวกได้ตลอดเวลา
ถ้าหากไม่พยายามจะป้องกัน ความคิดก็จะไหลไปเรื่อยๆ ไม่มีทิศทางเลยด้วยซ้ำ
แล้วเวลาที่คิดไม่ถูกต้อง หมกมุ่น เครียด กังวล
มันก็ส่งผลกระทบไปถึงร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณ

หนังสือ พระวจนะ พระนาม พระโลหิต ของ Joyce Mayer
บอกว่า บางทีเราเอาแต่หาวิธีการต่อสู้กับมาร เพื่อให้มันหนีเราไป
แต่ว่า ความรักและการใกล้ชิดพระเจ้าต่างหากที่ต้องมาก่อน

มีชีวิตในความสว่าง ความมืดมันก็จะไปเอง
และศัตรูก็จะมองเราไม่เห็นในความสว่าง

จงพูดพระวจนะ จงพูดพระวจนะ จงพูดพระวจนะ
น่าจะเป็นเคล็ดลับประการสำคัญในการคิดแง่บวกค่ะ

2.17.2552

มธ 13:53-58

อ่านพระคัมภีร์ตอนนี้คืนเมื่อวาน
เรื่อง เมืองนาซาเร็ธ ไม่ต้อนรับพระเยซู
วันนี้จะมาอัพเดทลงบล๊อก ก็เปิดอ่านอีกที

นึกถึงคำหนึ่ง คือคำว่า "ตั้งธง"
เคยมีประสบการณ์กับคำนี้มาแล้วหลายครั้ง
ทั้งเคยได้ยินคนพูด เคยเจอเอง เคยเป็นเอง

เป็นอาการประมาณ มีสิ่งหนึ่งไว้ในใจอยู่แล้ว
มีคำตอบและการคาดหวังบางอย่างอยู่แล้ว ทำให้ไม่เปิดใจ

ลงท้ายตอนนี้ พระเยซูพูดถึงเมืองนี้ว่า ไม่มีความเชื่อ
ตอนที่พระเยซูประกาศ สั่งสอน แทนที่จะฟังเนื้อหา ยอมรับสติปัญญาของพระองค์
แต่กลับวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นลูกช่างไม้ แม่ชื่อนี้ น้องชายชื่อนั้น

Focus คนละอย่างกับน้ำพระทัยพระเจ้า
แล้วก็ไม่เปิดใจรับฟัง
นาซาเร็ธก็พลาดพระพรไปซะ

อย่าเป็นอย่างนั้นเลย หมี่เอ๋ย

2.01.2552

ที่สงบสุขในใจของตน

ห่างหายจากการเฝ้าเดี่ยวมาหลายวัน
ที่จริงก็เปิดพระคัมภีร์ทุกวัน แต่ว่าไม่ "เน็ดๆ" แบบที่ผ่านมา

วันนี้เข้าเฝ้าพระเจ้าด้วยจิตใจที่อ่อนไหวพอสมควร
หลายๆ เรื่องที่ได้ค้นพบในวันนี้
ทำให้เห็นรายละเอียดของอีกหลายๆ ชีวิต

เวลารับใช้พระเจ้าจริงๆ ก็ไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไหร่นะ
นอกจากแรงเสียดทานบางอย่าง
ทำให้เกิดอาการเหนื่อยในจิตใจ ก็เลยต้องให้พระเจ้าคอยเติมพลังให้เรื่อยๆ

มธ 11:28-30
ได้อ่าน Blog ของเพื่อนคนหนึ่ง
เพิ่งอ่านวันนี้ครั้งแรก ก็ไปเจอเรื่องพีคๆ บางอย่าง
อ่านแล้วจะร้องไห้

แต่ละคนก็มีแอกของตนเอง
แต่ว่าแอกของพระเยซูก็แบกง่าย ภาระของพระองค์ก็เบา

ในพระคัมภีร์ King James ภาษาไทยแปลข้อ 29 ต่างออกไปจาก NIV ว่า
"จงเอาแอกของเราแบกไว้ เพราะว่าเรามีใจอ่อนสุภาพและถ่อมลง
และท่านทั้งหลายจะพบที่สงบสุขในใจของตน"

หมายความว่าอะไรคะพระเจ้า
"ที่สงบสุขในใจของตน"
ให้คำนิยามไม่ได้ แต่หมี่ว่าหมี่สัมผัสได้
เจอมาแล้ว และใครก็เข้าไปไม่ได้ด้วย นอกจากหมี่คนเดียว
เพราะเป็นที่สงบสุขในใจ "หมี่"

แต่ละคนก็มีแอกของตัวเอง และมีที่สงบสุขของตนเอง
แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะเรียนรู้จักพระเจ้าในชีวิตของเราแบบ "ตัวต่อตัว"

มธ 12:1-7
เหล่าฟาริสีนี่ไม่เหนื่อยหรือไงในการดำเนินชีวิต
แค่เอาตัวเองไปเดินอยู่ในธรรมบัญญัติก็น่าจะเหนื่อยมากพออยู่แล้ว
ไหนจะต้องมาคอยตามจ้องจับผิดคนอื่น
เข้าใจหลักการและน้ำพระทัยของพระเจ้าซะหน่อย
อะไรๆ ก็น่าจะดีกว่านี้เยอะเลย

1.26.2552

ถ้าท่านเชื่อ....

หลังจากกลับมาถึงบ้าน จบสิ้นกับทุกอย่างที่ผ่านมาตลอดทั้งวัน
สิ่งแรกที่ทำ คืออธิษฐานและนมัสการ...

สัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นสัปดาห์แห่งการ "งานเข้า" อย่างแท้จริง
เริ่มตั้งแต่วันจันทร์
อังคาร
พุธ
.
.
.
.

จะว่าไปก็ทุกวันนั่นแหละ
ชีวิตกำลังถูกขยาย
พระเจ้าตอบคำอธิษฐานมากมาย
อยากเติบโต อยากเป็นพร ก็เอาซะเลยไง

อธิษฐานด้วยความเป็นห่วง
กังวลเล็กๆ ว่าจะไม่ไหว
แล้วก็กลัวว่างานมากมายที่เรามีภาระใจและก้าวลงไปทำเนี่ย
จะหลุดด้วยมือของเราเอง

"ถ้าเจ้าเชื่อ ก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า"
พระเจ้ามาหนุนใจด้วยถ้อยคำนี้
ไม่ได้ขอพระเจ้าขยายความเชื่ออย่างเจาะจงมานานมากแล้ว

ต่อด้วยการเฝ้าเดี่ยวในพระคัมภีร์ มธ 9:18-26
หญิงป่วยเป็นโรคตกเลือด ที่แตะต้องฉลองพระองค์แล้วหาย
และลูกสาวของขุนนางที่ตายแล้วฟื้น

หญิงตกเลือดไม่ได้หาย เพราะชายฉลองพระองค์ แต่เพราะความเชื่อ
และแม้กระทั่งคนไม่เชื่อ
(24) พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า "จงถอยออกไปเถิด ด้วยว่าเด็กหญิงคนนี้ยังไม่ตาย เป็นแต่นอนหลับอยู่" เขาก็พากันหัวเราะเยาะพระองค์
พระเจ้าก็ทำการยิ่งใหญ่ได้ ถ้าพระองค์จะทรงโปรด

ว่าแล้วก็อธิษฐานกับพระเจ้าอย่างจริงจัง ขอพระเจ้าขยายความเชื่อทีเถอะพระองค์
อยากเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
ในตัวเรา
ในการงานของเรา
ในการรับใช้ของเรา
และในตัวคนรอบข้างของเรา


ขอบคุณพระองค์สำหรับกำลังใจ คำหนุนน้ำใจ
วันนี้ได้แต๊ะเอียด้วย
ลูกของพระเจ้าไม่เคยขาดสิ่งใดๆ เลยจริงๆค่ะ
ขอบคุณพระเยซูสุดใจขาดดิ้น

"ถ้าท่านเชื่อ ท่านจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า"

1.23.2552

คบคนพาล พาลพาไปหาผิด ??

เฝ้าเดี่ยวใน มธ 8:9-13
พูดถึงเรื่อง "คนเจ็บต้องการหมอ แต่คนสบายไม่ต้องการ"
ก็สะท้อนให้หันกลับมามองตัวเอง
ต้องรักษาความถ่อมใจไว้เสมอ

สิ่งที่น่าคิดอีกอย่างในพระคัมภีร์ตอนนี้
ตามสุภาษิตดั้งเดิมกล่าวว่า คบคนพาล พาลพาไปหาผิด
ผู้ใหญ่ก็จะเตือนให้เราระวังในการคบเพื่อน
เพี่อที่ว่าเราจะไม่ถูกเพื่อที่ไม่ดีมาถ่วงความจำเริญในชีวิต

แต่พระเยซูทำในสิ่งตรงกันข้ามทีเดียวเชียว

ซึ่งหมี่คิดว่า เราก็ควรทำเช่นนั้น
ถ้าเราสามารถเป็นหมอได้...

ใช้เวลาศึกษาและบ่มเพาะประสบการณ์ในการรักษาเรื่อยๆ ก็แล้วกันนะ

1.21.2552

ว่าด้วย มธ 8:14 เป็นต้นไป

เฝ้าเดี่ยวติดต่อกันหลายวัน
แต่ไม่มีความสามารถในการอัพบล๊อกให้ได้อย่างต่อเนื่องทุกวัน

ค่อยๆ ย้อนความจำ ทบทวนกลับไปละกัน
วันนี้ เฝ้าเดี่ยวใน มธ 8:28-34
เป็นเรื่องราวของการขับไล่ผีที่ชื่อ "กอง" ในเมืองกาดารา
อ่านแล้วรู้สึกว่า ผีกองนี้ (หรือกองอื่นๆ ด้วยเนี่ยนะ) มันช่างชั่วร้ายไร้มโนธรรมจริงๆ

ทำร้ายคน ทำลายสัตว์ ทำให้คนอื่นๆ กลัว จนหัวหด
จิตใจตกต่ำไปแล้ว
อย่างคนในเมืองนี้คงโดนไปเยอะ
ขนาดพระเยซูมาช่วยไล่ผี ทำอัศจรรย์กับคน
ยังถูกเชิญให้ออกจากเมืองเพราะว่ากลัว
เสียดายโอกาส

อย่างไรก็ตาม พระเจ้าชี้ให้เห็นอีกหนึ่งอย่างว่า..
พระเยซูมีวิธีการในการช่วยเหลือเขา
ก็คนที่พระองค์ช่วยมาจากการถูกผีสิงนั่นไง อยากจะติดตามพระองค์ไปด้วย
แต่พระเยซูไล่กลับไปประกาศและบอกข่าวดีแก่พี่น้องในเมืองทั้งหลาย

ได้ข้อคิดว่า พระเจ้าช่วยกู้เรา วัตถุประสงค์อย่างหนึ่งก็เพื่อการเป็นพรต่อคนอื่นนะ
แล้วก็ต้องระวังมารให้ดีเชียว ไม่ว่าใครหน้าไหน มันไม่สนใจ เอาทุกวิถีทางให้ได้บั่นทอน
น่ากลัวจริงๆ

ก่อนหน้านั้น ประมาณวันจันทร์
เฝ้าเดี่ยวใน มธ 8:23-27
เรื่องพระเยซูที่หลับในเรือท่ามกลางพายุ
Classic มาก
ใคร่ครวญบ่อยเหลือเกิน ข้อนี้

จะว่าไป ถ้าเราเป็นสาวกในเรือ เราก็คงเวิ่นเว้ออยู่มากนะ
อะไร (ฟะ) เรือจะล่มแล้ว หลับอยู่ได้นะท่าน

แต่จะว่าไป (อีกแล้ว) สาวกไม่รู้จักพระเยซูหรือยังไง
ถ้าภัยมาและเป็นอันตรายต่อคนภายใต้
มีเหรอที่พระองค์จะนิ่งนอนใจ
นี่ถึงขั้นไปปลุกแบบโวยวายกันทีเดียว
จะพินาศแล้ววว ตื่นมาดูหน่อย

พระเจ้าไม่เคยนิทรา จำเอาไว้บอกตัวเองเวลาที่เป็นกระต่ายตื่นตูม

มธ 8:19-22
เขียนหัวข้อไว้ว่า ทรงลองใจผู้ติดตามพระองค์

สุนัขจิ้งจอกยังมีโพรง นกในอากาศยังมีรัง
แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่ที่จะวางศีรษะ

แม้จะเป็นแค่คำลองใจ แต่ก็ตกผลึกได้หนึ่งเรื่อง
เกี่ยวกับ "ความมั่นคง" ในแนวคิดของพระเยซู
ไม่ใช่การมีทรัพย์สินมากมาย ไม่ใช่การมีบ้านที่เป็นหลักแหล่ง
ไม่ใช่ความปลอดภัยในฝ่ายร่างกาย จ่ายค่าประกันแล้วหายห่วง
ความมั่งคงของพระองค์เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น
แต่มีจริง สัมผัลได้จริง
ฮบ 11:1

มธ 8:14-18
พระเยซูทำงานหนักจังเลยอ่า
ค่ำมืดแล้วแต่ก็ยังรักษาคนมากมาย

ข้อพระคัมภีร์ที่บอกว่า...

ท่านได้แบกความเจ็บไข้ของเราทั้งหลายและหอบโรคของเราไป

เคยแตะต้องใจหมี่อย่างถึงที่สุด

พระเจ้ารักเราจัง

ยอมทุกอย่างเพื่อให้เราสบาย และหายดี



หลับฝันดี มีพระเยซูอยู่ข้างๆนะคะ
^_^

1.18.2552

:::: ลูกเอย แม่จะกล่อม ::::

วันนี้ตอนนมัสการ
พระเจ้าให้นึกถึงเพลงกล่อมเด็ก แล้วก็เห็นภาพ
เป็นภาพของเปล ทารกที่นอนอยู่ในเปล
และแม่ที่กำลังกล่อมทารกน้อยให้นอนหลับ
พักสงบ...

ถ้าหากว่าเราเป็นเด็กน้อยคนนั้น
ก็คงจะนอนหลับสบาย...
ไม่ต้องคิดถึงงาน
ไม่ต้องคิดถึงเรื่องต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิต
ไม่ต้องคิดว่าตัวเองทำอะไรดีหรือไม่ดี
ไม่ต้องคิดว่าคนอื่นจะมองเรายังไง

เพียงแค่ฟังเสียงกล่อมของแม่
สัมผัสความรักและความอบอุ่นของแม่
แล้วก็พักสงบ และรอการเติบโตตามเวลา ด้วยการเลี้ยงดูของแม่
อุ่นใจและสบายใจ ไม่มีอะไรเหมือนเชียวล่ะ...

พรุ่งนี้ค่อยมาอัพเรื่องเฝ้าเดี่ยว
คืนนี้ไม่ไหวละ

1.14.2552

ชีวิตที่นับได้

วันนี้นำอธิษฐานในแคร์
ขอบคุณพระเจ้า รู้สึกว่าอธิษฐานแล้วมีพลัง พระเจ้าอยู่ด้วย

ช่วงที่นมัสการพระเจ้า
ก็นึกถึงชีวิตที่ผ่านมาของตัวเอง
ช่วงหลังจากเชื่อพระเจ้าแล้ว
ที่ผ่านความรู้สึกและเหตุการณ์ต่างๆ มาเยอะแยะมากมาย

ให้นับก็นับไม่ได้
ให้นึกก็นึกไม่หมด

ต่างจากชีวิตก่อนเชื่อพระเจ้ายิ่งนัก
มีคุณค่ากว่ากันเยอะ

กางเขนและโลหิตของพระเจ้าช่างทรงพลัง
ความรักพระเจ้ายิ่งใหญ่
แล้วก็ทำสิ่งยิ่งใหญ่ในชีวิตหมี่มากนัก

ขอบคุณค่ะพระเจ้า

1.13.2552

เพียงแต่พระองค์จะโปรด

เมื่อวานได้เฝ้าเดี่ยวใน มธ 8:1-4
คนโรคเรื้อนบอกว่า "เพียงแต่พระองค์จะทรงโปรด"
รู้สึกว่าเป็นคำอธิษฐานที่วิงวอนและยำเกรงพระเจ้าอย่างมาก
ท่าทีแบบนี้ เป็นท่าที่ที่พระเจ้าโปรด

ก็เลยหา่ยโรคซะ

ที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือว่า
อย่าลืมทำตามขั้นตอนกระบวนการของพระเจ้า
ไม่ใช่เอาแต่ดีใจที่พระเจ้าอวยพร แล้วก็ไปป่าวร้อง
แต่ไม่ได้ถวายเครื่องบูชาตามที่พระเยซูสั่ง (ตามหลักการที่โมเสสบอก) ไว้
ทำให้ไม่ได้เป็นพระพรหรือเป็น "หลักฐาน" ให้คนอื่นเห็น

ฟังเสียงพระเจ้าให้ชัด ครบถ้วน
รู้จักวิธีการและกระบวนการของพระองค์

1.11.2552

เอาเข้าไปใน มธ 7

ไม่ได้มาอัพเดทชีวิตเฝ้าเดี่ยวซะหลายวัน
เนื่องจากหายไปกับความวุ่นวายของการเตรียมงานไปเชียงใหม่
แล้วก็ช่วงปีใหม่ ที่ไม่ได้เข้า internet ซะหลายวัน

มาไล่กันสักหน่อย
วันที่.........(จำไม่ได้)
มธ 7:7-12
จงขอแล้วจะได้......
วันนี้จำได้ว่าพอเฝ้าเดี่ยวเสร็จ ก็เอาการ์ดหนุนใจมาเขียนขอโทษให้น้องคนหนึ่ง
เพราะว่า "สิ่งสารพัดที่ท่านปรารถนาให้มนุษย์ทำกับท่าน ท่านจงทำอย่างนั้นกับเขาเหมือนกัน"

มธ 7:13-14
ประตูกว้าง ... ทางแคบ
ทางแคบคือทางที่ยาก
ค้นที่หาพบก็มีน้อย
การก้าวข้ามผ่านอะไรหลายๆ อย่างไปสู่สิ่งที่ดีกว่า มักจะต้องต่อสู้
ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ แล้วเราจะเห็นคุณค่า

พระเจ้าคะ ถ้ารู้ว่าต้องไป ยากแค่ไหน เราก็จะไป
ผู้รับใช้พระเจ้าต้องใจๆ อย่างนี้ใช่ไหมคะ

มธ 7:15-23
เป็นของแท้ของพระเจ้า
และรู้จักของแท้ของพระเจ้า

ว่าแล้วก็ต้องมาสำรวจชีวิตตัวเองนะเนี่ย
ที่พูดๆ กับพระเจ้าทุกวัน คือพระเจ้าถูกคนใช่ไหม
ไม่ใช่พูดอยู่แต่กับตัวเอง เอาตัวเองเป็นรูปเคารพ

พระเจ้า confirm น่า
ขอบคุณค่ะพระองค์
ตอบหนูเกือบทุกคำถามแล้ว
^_^


มธ 7:24-29
วันนี้นี่เอง
11/01/2009
เฝ้าเดี่ยวเกี่ยวการสร้างเรือนบนศิลา

วันนี้มี Bible Class พิเศษ เรื่องการวางแผนชีวิต
ไม่ใช่แค่การวางแผนเวลา แต่ว่าเป็นการวางแผนชีวิต
เริ่มต้นที่เป้าหมาย สำคัญคืออยู่ในกรอบพระมหาบัญชา มธ 28:19-20
เดินไปด้วยการกำหนดแผนและวิธีการ

วางไว้ให้พระเจ้าดูแล...

เรือนที่ว่า เปรียบได้เหมือนกับชีวิต
การสร้างชีวิตให้ผลิดอกออกผลและมั่นคง ต้องสร้างบนหลักการและวิธีการของพระเจ้า
ไม่สำคัญเลยว่าเรามีอะไร
วันนี้ก็บอกตัวเองได้ ว่าเราไม่มีอะไร

มีอย่างเดียวคือชีวิตที่พระเจ้าใส่สิ่งดีไว้มากมาย
ชีวิตที่ถูกดูแลโดยพระองค์เอง
แค่นี้ก็รู้สึกมั่นคง
เรามีหน้าที่ในการใช้ชีวิตอย่างดีที่สุดเท่าที่ปัญญาและความพยายามของมนุษย์คนหนึ่งจะทำได้
คือทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า
เดินตามสิ่งที่พระเจ้าสอนไว้ บอกไว้ และจะนำต่อๆไป

อย่าปล่อยให้ชีวิตพลังทลาย
เหมือนเรือนที่สร้างบนดินทราย
เอาชีวิตไปติดอยู่กับ เงินทอง ผู้คน สังคม
ดูเหมือนมั่นคง
แต่ว่าก็พร้อมที่จะพลังทลายได้ทุกเวลา

1.05.2552

คิด และ มอง

ไปโบสถ์นมัสการพระเจ้าวันนี้
พระเจ้าพูดด้วยเยอะแยะเลย

พระเจ้าบอกว่า พระเจ้าเป็นผู้บรรจุจิตใจและความคิดใหม่ให้กับเรา
ต้องถ่อมใจและพึ่งพาพระเจ้าให้มากๆ จะได้ไม่เดินตามใจตัวเอง

พระเจ้าบอกว่า ให้เรารักและอธิษฐานเผื่อคนอื่น
ให้จิตใจเราอ่อนโยนเพื่อคนอื่น และเปลี่ยนแปลงเพื่อเป็นพระพรแก่คนอื่น

พระเจ้าบอกว่า พระเจ้าให้เราเป็นเกลือและแสงสว่าง เป็นพรแก่คนในโลก
เป็นหยดน้ำเล็กที่จะแผ่กระจาย
เป็นคนเล็กน้อยที่จะเกิดผลใหญ่

เวลาที่พระเจ้าพูดด้วยเยอะๆ
ให้กำลังใจเยอะๆ
มักจะหัวใจเต้นแรงงง


มธ 7:1-6
เฝ้าเดี่ยวในข้อพระคัมภีร์ที่ต่อเนื่องจากครั้งก่อน
หลังจากที่ปีใหม่หายไปยาว ร่อนทั่วเมืองเหนือกับญาติพี่น้องเป็นฝูง ไม่ได้มีเวลาพักสงบเข้าเฝ้าพระเจ้าสักเท่าไหร่

พระเจ้าให้ข้อคิดผ่านพระคัมภีร์ตอนนี้ว่า

1. เราไม่ควรไปตัดสินพี่น้องหรือใครคนใดทั้งสิ้น เพราะเราไม่รู้จักเขา
ความคิดของเราอาจจะถูกต้อง หลักการเราอาจจะดี ความตั้งใจเราอาจจะดี
แต่บางที เราไม่ได้สัพพัญญู ไม่สามารถรู้จักเขาทั้งชีวิต
ทำให้เราไปวิพากษ์วิจารณ์ท่าที ความคิด หรือการกระทำของเขาว่าผิดไม่ได้
นอกจากเขาจะเอ่ยมาเอง หรือมีหลักฐาน 100%
แม้กระนั้น หลายๆ ครั้งก็ไม่ใช่หน้าที่เราที่จะไปพิพากษาหรือลงอาญาผู้ใด

2. ถ้าเราไม่รู้จักตัวเอง มองตัวเอง และวิเคราะห์ตัวเองให้ถูก
เราก็ไม่ควรจะไปตักเตือนคนอื่น
เพราะว่าคนที่ไม่เข้าใจแม้กระทั่งตัวเอง จะเข้าใจคนอื่นได้ลึกซึ้งได้ยังไง
เราเตือนคนอื่นด้วยอคติหรือไม่ เราจะตอบตัวเองได้เต็มปากเต็มคำหรือเปล่า
ต้องเริ่มต้นจากการมองตัวเอง แก้ไขพัฒนาตัวเอง เข้าใจตัวเอง
เรียกว่าศึกษาภาคปฏิบัติให้รู้จริงซะก่อน
แล้วค่อยลงสนาม

3.คิดให้รอบคอบ เพราะเราต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เราทำ
ตวงให้คนอื่นด้วยทะนานอันใด
ก็จะได้ทะนานนั้นนั่นแล

คิดให้มาก ก่อนจะทำอะไร ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนอื่น
เวลาที่ต้องรับผิดชอบจะไม่ต้องมาเสียใจภายหลัง
ทุกอย่างส่งผลกลับมาแน่นอน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

เหลือ มธ 7:7 ยังไม่ค่อยเข้าใจค่ะพระเจ้า