11.08.2552

Jesus, I am so in love with You

ความสับสน หรือเครียด หรือเคว้งคว้าง หรืออะไรสักอย่าง
ที่ไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต
ผุดขึ้นมาเมื่อ 2-3 เดือนก่อน

แล้วหมี่ก็ถามตัวเองว่า มันคืออะไร
แล้วมันจะหายไปได้ยังไง

หมี่เข้านอนด้วยความรู้สึกว่าไม่รู้จะทำอะไร
นอนฝันทุกคืน ฝันว่าตามหาอะไรสักอย่าง
บางครั้งก็รู้สึกตายด้าน
บางครั้งก็รู้สึกอยากจะร้องไห้กับอะไรก็ไม่รู้

แล้วก็ถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา ว่ามันคืออะไร

หมี่มั่นใจว่า พระเจ้าอยู่กับหมี่
หมี่โตขึ้นและพระเจ้าอวยพรหมี่ทุกวัน

ที่โบสถ์ Newsong วันนี้
แบ่งปันพระคัมภีร์โดย Dave Gibbons, Founder of Newsong

This World gives you illusion.
And when you grow up, know reality more,
you look into a mirror and found that you're nothing.
You're cut off from others you love,
even from someone told you they love you.

But it's ok.

น้ำตาไหล

หมี่ไปซื้อของที่เซ็นทรัลเวิลด์ เห็นโชว์รูมของรถโฟล์ค
เป็นรถที่หมี่ชอบมาก ฝันไว้ว่า อยากใช้รถรุ่นนี้ตอนมีครอบครัว
หมี่ถามพี่อารทธว่า หมี่เป็นอะไร หมี่จะตอบตัวเองยังไงดี
บางทีหมี่ก็ไม่มีคำตอบให้ตัวเองแล้วก็รู้สึกว่างเปล่ามาก

อย่างเช่น หมี่อยากได้รถโฟล์ค
แต่หมี่รู้ว่าหมี่ไม่มีปัญญาหาเงินมาซื้อหรอก
ต่อไปวันข้างหน้าจะทำยังไงให้ได้ขับ หมี่ก็ไม่รู้
หมี่เชื่อนะ ว่าถ้าพระเจ้าอยากให้ พระเจ้าก็ให้ได้
แต่หมี่ก็ไม่สามารถเชื่อได้จนหมดใจ ว่าหมี่จะได้ใช้รถคันนี้
ไม่กล้าจะหวัง

หมี่อยากได้ Notebook อันใหม่
อยากได้โทรศัพท์เครื่องใหม่
อยากไปเที่ยวต่างจังหวัด

ตลอดเวลาที่ผ่านมา หมี่ได้เงินเดือนแทบไม่พอใช้
แล้วก็หลอกตัวเองว่า ไม่เป็นไรหรอก
ที่เราอดทนอยู่นี่ เพื่อสิ่งที่ดีกว่า สำคัญกว่า
ส่วนของอื่นๆ ถ้าอยากได้ พระเจ้าก็จะให้
หมี่เชื่อมาตลอด ว่าหมี่จะได้สิ่งที่หมี่ควรได้
โดยพระเจ้าจะให้ด้วยทางใดทางหนึ่ง

แต่มันเหมือนกับ...
หมี่เห็นแล้วว่า หมี่ไม่มีปัญญาจะได้สิ่งที่หมี่อยากได้
การกระทำของเรา จะเป็นสิ่งที่กำหนดว่าเราจะได้หรือไม่ได้อะไร
นี่เป็นกติกาของโลกที่เราจำเป็นต้องเดินตาม
ซึ่งปัจจุบันก็สำเหนียกได้ว่า แกมันไม่มีอะไรเลยว่ะ
แกมัน nothing and sinner

พี่อารทธบอกว่า นี่แหละ หมี่กำลังโตขึ้น
และเรียนรู้ความจริงว่า...
เราพ่ายแพ้ไปกับ illusion ของโลกได้ง่ายๆ
เราอยากได้ เรามีความฝัน
แล้วเราก็เจ็บปวด เพราะเรารู้ว่า เราจะผิดหวัง

คุยกันแล้วหมี่ก็ร้องไห้
ตอนที่รอซื้อสายกีตาร์ในร้านที่เซ็นทรัลเวิลด์
แล้วก็มีเพลงดังขึ้นมา
ลูกค้าในร้านลองสายกีตาร์ด้วยเพลงนี้

You are God in heaven
And here am I on earth
So I'll let my words be few
Jesus, I am so in love with You

And I'll stand in awe of You, Jesus
Yes, I'll stand in awe of You
And I'll let my words be few
Jesus, I am so in love with You

The simplest of all love songs
I want to bring to You
So I'll let my words be few
Jesus, I am so in love with You


หมี่ร้องไห้หนักกว่าเดิม
มันเป็นเพลงนมัสการที่เพราะที่สุดในชีวิต

พระเจ้าอยู่กับหมี่จริงๆ นะ
อยู่กับทุกความรู้สึก
ทุกความหวังและความผิดหวัง
ทุกความฝัน

หมี่ไม่เคยรู้จักความเจ็บปวดแบบนี้ แต่มันมีอยู่จริง
แล้วหมี่ก็เพิ่งจะสำเหนียกว่า หมี่มีแผลที่ยังมองไม่เห็น
และโลกนี้มีอะไรหลายอย่างที่พร้อมจะตีเราลงได้ตลอดเวลา

หมี่คงต้องโตมากขึ้น มั่นคงมากขึ้น รับมือกับมันให้ดีกว่านี้
แล้วก็อธิษฐานขอ mercy ของพระเจ้า

Dave บอกว่า ถ้าเราไม่รู้จะอธิษฐานอะไร
ให้อธิษฐานว่า God mercy me.

It's ok,
I'll try.

10.18.2552

Sheep & Sheperd

ก่อนไปเข้าโบสถ์ที่นิวซองวั
นนี้ ได้ไปกินชาบูกับน้องสาวคนหนึ่ง
ไม่ได้เจอกันนาน คลาดนัดกันไป 2-3 รอบ
เจอกันแล้วก็คุยกันสัพเพเหระ ด้วยความคิดถึง

เรียกได้ว่าเป็นลูกแกะที่ขัดเกลานิสัยและมุมมองกันหลายๆ อย่าง
พี่เลี้ยงขัดเกลาลูกแกะ และแกะก็ขัดเกลาพี่เลี้ยง

ห่างหายกันไปสักพัก
ตอนนี้ ก็มีหลายเรื่องที่ลูกแกะตัวนี้มองได้ชัดกว่าพี่เลี้ยงซะแล้ว

ที่นิวซองแบ่งปันเรื่องราวใน ยอห์น 10
ว่าด้วยเรื่องของ "แกะ" และ "ผู้เลี้ยง"
แกะย่อมฟังเสียงผู้เลี้ยง พระเยซูบอกไว้
และผู้เลี้ยงที่ดี ย่อมสละชีวิตเพื่อแกะของตน

หันมาถามตัวเองว่า ผู้เลี้ยงที่ดี เป็นอย่างไร
นิยามของคำว่าผู้เลี้ยงที่ดี จากที่เคยรู้มาตลอดว่า 1 2 3 4
ตอนนี้ ผู้เลี้ยงที่ดี จริงๆ แล้วเป็นอย่างไร

จากประสบการณ์ของตัวเอง

เมื่อรู้ว่าได้เป็นพี่เลี้ยงใคร
จะเกิดความรู้สึกเอ็นดูคนนั้นอย่างแปลกประหลาด
รักเหมือนคนในครอบครัว

หรือเมื่อรู้สึกรักใคร
จะเกิดความรู้สึกเหมือนอยากดูแลเขาเป็นลูกแกะ
อยาก treat เขาให้เติบโตในทางของพระเยซู แบบ automatic

ทั้ง 2 ประเภทนี้ ตายแทนได้หมด (ถ้ามั่นใจว่าเป็นน้ำพระทัยอะนะ)

เลยเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า
หรือ "รัก" กับ "เลี้ยงดู" เป็นเรื่องเดียวกัน
เป็นผลต่อเนื่องตามธรรมชาติ

จำเป็นไหม ที่ต้องมีลูกแกะกี่คนเพื่อบอกว่า เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี
เราสามารถรักทุกคนแบบที่พระเจ้ารัก
และทำทุกอย่างเพื่อพาใึครก็ได้มาถึงพระเยซู
โดยไม่ต้องกะเกณฑ์วิธีและจำนวนได้ไหม
จะเลี้ยงดู ให้คำปรึกษา หรืออธิษฐานเผื่ออยู่ห่างๆ
เพียงพอไหม

หมี่เคยมีลูกแกะ 7 คนในเวลาเดียวกัน
ทุกครั้งที่พาแกะไปตามทางที่เราต้องการได้ไม่ครบ 7
ทำไมมันเจ็บปวดกับสิ่งที่หายไป
มากกว่าจะชื่นชมยินดีกับสิ่งที่เราได้พยายาม
นิยามแบบนั้นอาจจะไม่ใช่หรือเปล่า

นิยามของการเป็นผู้เลี้ยงที่ดี สำหรับหมี่ ณ วันนี้
คือ เป็นลูกของพระเจ้าที่ฟังเสียงพ่อ
และอยู่เพื่อทุกคนที่พระเจ้าตั้งไว้ให้เราได้เจอบนโลกใบนี้ ให้ดีที่สุด

การได้ไปกินชาบูกับลูกแกะคนสวย ทำให้หมี่รู้ว่า
การมีลูกแกะ คือการแลกเปลี่ยนสิ่งดีที่เรามีเพื่อเติมพลังให้กัน
ไม่ต่างอะไรกับการใช้ชีิวิตกับเื่พื่อนร่วมโลกอะนะ



PS. I will use my inner ear for listening to The Voice, thank you, Maria.

8.11.2552

โยนาห์ เด็กน้อย

วันนี้ไปนั่งตากลมที่ระเบียงบ้าน
อ่านพระธรรมโยนาห์ จบเล่มไป 1 หนึ่งรอบ

สิ่งที่รู้สึกขึ้นมาในใจ มี 2 เรื่อง

1.โยนาห์นี่เด๊กเด็ก
ตั้งใจดื้อกับพระเจ้าได้ซะขนาดนั้น
ต่อรองกับพระเจ้าเหมือนเด็กเลย
ตั้งแต่ตอนแรกที่ไม่ยอมไป
พอนีนะเวห์กลับใจ ก็งอแงอีก

ดูกันจริงๆ แล้ว พระเจ้าไม่ได้เลือกผู้รับใช้ที่ยอมมันไปซะทุกอย่างเท่านั้นนะ
เหตุผลที่แท้จริงคืออะไร ก็คงต้องไปถามกันเอาวันสุดท้าย
ที่แน่ๆ โยนาห์เจ๋งดี ในความตรงไปตรงมาอย่างน่าทึ่ง
คงจะเป็นใจของเขาที่ตรงไปตรงมาเนี่ยล่ะ ที่พระเจ้าเอ็นดู

2.พระเจ้าฉล๊าดฉลาด (ไม่รู้จะเน้นเสียงยังไง อิอิ)
แล้วพระองค์รักคนของพระองค์มากมายเหลือเกิน
ดูวิธีที่พระองค์สอนโยนาห์สิ
ครั้งแรก ในท้องปลา (พยากรณ์ถึงพระเยซูอีกต่างหาก)
ครั้งที่สองเรื่องต้นมะเดื่อ
แผนการของพระองค์ก็ perfect
ความงอแงของโยนาห์ยังทำให้คนบนเรือรู้จักพระองค์ได้

ดีใจจังที่รู้จักพระเจ้า
ดีใจจังที่มีพระคัมภีร์อ่าน
ขอบคุณพระเจ้าค่ะ

8.09.2552

องค์พระเยซูคือผู้ใด

8 สิงหาคม ค.ศ.2009
หมี่อ่านพระคัมภีร์ใน ยอห์น 14:1-11
เวลาในพระคัมภีร์ตอนนั้น เป็นช่วงประมาณปี ค.ศ. 33
ในคืนก่อนเทศกาลปัสกา ก่อนวันถูกตรึงการเขนของพระเยซู

ทั้งเปโตร โธมัส และฟิลิป
ต่างก็ตามพระเยซูด้วยคำถามที่คริสเตียนรู้คำตอบ
พระองค์จะไปไหน เราจะไปด้วยได้อย่างไร
สำแดงพระบิดาให้เราเห็นที

.....

ณ วันนี้ เรื่องราวการไถ่ของพระเยซูคริสต์
ได้รับการเปิดเผยผ่านพระกิตติคุณทั้ง 4 เล่มอย่างครบถ้วน
หลักศาสนศาสตร์หลายๆ ข้อ
ก็ได้รับความชัดเจนผ่านจดหมายฝากเปาโล

แต่ ณ วันนั้น สาวกทั้ง 12 คนที่ไม่รู้
วาดภาพการไถ่อัีนอัศจรรย์ที่พระเยซูกำลังจะกระทำไม่ออกแม้สักนิด
เขาเชื่ออะไรในตัวของพระองค์
เขาเชื่อได้อย่างไร ทั้งที่ยังไม่รู้อะไรเลย

.....

ในพระคัมภีร์เ้ดิม
พระเจ้าตั้งกฎในการเผาเครื่องบูชาไถ่บาปเพื่ออิสราเอล
และทรงเปิดเผยเีรื่องการไถ่บาปมนุษยชาติ
ด้วยพยากรณ์ถึงพระเมสสิยาห์

ผู้เชื่อในสมัยนั้น ไม่เห็นอะไรเลย
ไม่รู้จักพระสิริของพระเจ้าอย่างที่เห็นได้ในพระเยซู
ไม่มีพระวิญญาณที่สถิตย์อยู่กับเขา
แล้วเขาเชื่ออะไรในพระเจ้า

.....

ปัจจุบัน ปี 2009
เรื่องราวต่างๆ ในพระคัมภีร์ถูกพิสูจน์จนเกือบจะสมบูรณ์
ว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่จริง และเป็นหลักการนิรันดร์

บริบทต่างๆ เปลี่ยนไปจาก 2000 ปีก่อน
วัฒนธรรมที่เคยเคร่งครัดหนาแน่น ถูกเปิดออกเรื่อยๆ
วิธีการ รูปแบบพิธีกรรม แตกต่างไปอย่างสิ้่นเชิง
ข้อมูลข่าวสารเยอะแยะมากมาย จนไม่รู้ว่าอะไรที่จริง

แล้วเราจะเลือก "เชื่อ" อะไร

.....

โลกหมุนตลอดเวลา
สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปตามการหมุนของโลก
คือความเป็นพระเจ้าที่สมบูรณ์และความเป็นมนุษย์ที่อ่อนแอ

ผู้เชื่อ เราเชื่อใน "พระสัญญา" และ "ประสบการณ์แห่งความรัก"
ที่เราแต่ละคนมีต่อพระเจ้าที่เรารู้จัก
ไม่ว่าจะเป็นพระเยโฮวาห์ของดาวิดและอับราฮัม
เยซูชาวนาซาเร็ธของเปโตร โธมัส ฟิลิป และยอห์น
พระเยซูบุตรพระเจ้าผู้ไถ่ของคริสเตียน

พระเจ้าไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ไม่ว่าโลกและยุคสมัยจะเปลี่ยนไปอย่างไร
พระวาทะของพระเจ้าสอนเราอย่างนั้น
นี่คือสิ่งที่เรา "เชื่อ"

ยอห์น 1:1
ในเริ่มแรกนั้น พระวาทะทรงเป็นอยู่แล้ว
และพระวาระทรงอยู่กับพระเจ้า
และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า

7.29.2552

หมายสำคัญของโยนาห์

เมื่อวานนี้คุยกับพี่คนหนึ่ง ถึงข้อพระคัมภีร์ที่บอกว่า
คนชาติชั่วและคิดคดทรยศต่อพระเจ้าแสวงหาหมายสำคัญ
และจะไม่โปรดให้หมายสำคัญแก่เขา เว้นไว้แต่หมายสำคัญของโยนาห์เท่านั้น
ใน มัทธิว 16:4

บางสำนัก อาจจะอ่านพระคัมภีร์ข้อนี้แล้วตีความว่า
ในยุคสุดท้ายที่เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่ จะไม่มีหมายสำคัญเกิดขึ้นอีกแล้ว
นอกจากการฟื้นคืนพระชมน์ของพระเยซูคริสต์
แต่พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงหมายสำคัญหลายอย่างที่อัครทูตได้ทำขึ้น
ด้วยเดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์...

โรม 15:19 คือด้วยอิทธิฤทธิ์แห่งหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ในฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ จนข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐของพระคริสต์อย่างถ้วนถี่ ตั้งแต่กรุงเยรูซาเล็มอ้อมไปยังเมืองอิลลีริคุม

มาดูพระคัมภีร์กันต่อ
ในมัทธิว 12:41 บอกว่า
ชนชาวนีนะเวห์จะลุกขึ้นในวันพิพากษาพร้อมกับคนยุคนี้
และจะเป็นตัวอย่างให้คนยุคนี้ได้รับโทษ
ด้วยว่าชาวนีนะเวห์ได้กลับใจเสียใหม่ เพราะคำประกาศของโยนาห์
และซึ่งใหญ่กว่าโยนาห์มีอยู่ที่นี่

พระคัมภีร์บอกว่า
ในยุคสุดท้ายจิตใจของคนจะแข็งกระด้าง ความรักจะเยือกเย็นลง
แล้วเราก็เห็นว่า คนให้ความสำคัญกับสติปัญญาความรู้ (แบบมนุษย์)
มากกว่ายุคที่ผ่านๆ มา

คนให้ความสำคัญกับการศึกษา ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
ข่าวสารต่างๆ ทฤษฎีที่ได้รับการค้นพบใหม่ๆ
คนที่มีข้อมูลเยอะ การศึกษาดี ก็เก่ง เป็นที่นับถือ

เรื่องที่น่าเศร้าใจคือ
สิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าให้ความสำคัญ
ไม่ได้รับความสำคัญจากสารระบบของคนในยุคนี้ไปเสียแล้ว

หากเปิดใจให้กว้างก็จะรู้ว่า
ความเข้าใจใหม่ๆ เล็งให้เห็นการมีอยู่ของพระเจ้าได้มากกว่าเดิมเสียอีก
สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ ไม่ได้ขัดกับพระคัมภีร์
และการศึกษาเกี่ยวกับจิตวิญญาณที่กำลังโด่งดัง
ก็เป็นเรื่องเดียวกันกับความเข้าใจฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าบอกเรามาตลอด

จิตใจคนแข็งกระด้าง คนมัวแต่หวาดกลัวการสูญเสีย
คนมัวแต่ปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง
สร้่างเกราะกำบังในชีวิต และในจิตใจไว้กี่ชั้นกันก็ไม่รู้
จะกลับไปรู้จักตัวตนของตัวเองได้ ก็เหนื่อย
ต้องพยายามเปิดใจและเจอกับความปวดใจกันไม่รู้จักจบสิ้น

เนี่ยแหละ ผลของความบาปที่ทวีคูณขึ้นในยุคนี้
ถ้าคนสมัยพระคัมภีร์เดิมได้เห็นและรู้อะไรต่างๆ เท่ากับคนในยุคนี้ได้รู้
สงสัยจะกลับใจกันทั้งโลก

เนี่ยแหละผลของความบาป

ขอบคุณพระเจ้าที่มีพระคุณกับโลกและกับเรา

7.15.2552

ชายตาบอด

อ่านพระคัมภีร์ยอห์น บทที่ 9 เรื่องชายตาบอด
เรื่องยาวเหมือนกัน

พระเยซูไปเจอชายตาบอดคนหนึ่ง
สาวกถามว่า เขาตาบอดเพราะใครทำบาป
พระองค์ตอบว่า เขาตาบอดเพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้าสำเร็จ

ชายตาบอดคนนั้น สร้างความตื่นเต้นโกลาหลให้ทั้งเมือง (ด้วยฝีมือพระเยซู)
เขาไม่รู้ว่าพระองค์เป็นใคร เขารู้เพียงว่า พระองค์ทำให้โลกมืดของเขาสว่างขึ้น

กระบวนการค้นหาความจริงของฟาริสิ ช่างวกวน
ถามแล้ว ถามอีก ถามคนนั้น ถามคนนี้

ความจริงก็คือความจริง ชายตาบอดก็ทำได้แค่ให้ข้อมูลความจริง
และยืนยันในสิ่งที่ตนเองเชื่อ
พระเยซูไม่ได้เป็นคนบาป
พระเยซูคือผู้รักษาตาของเขา

ความจริงใจต่อสิ่งที่พระเยซูได้ทำในชีวิตของเขา ทำให้เขาเชื่อ
และรับความรอด

พระเยซูตรัสว่า "เราเข้ามาในโลกเพื่อแก่การพิพากษา เพื่อให้คนทั้งหลายที่มองไม่เห็นกลับมองเห็น และคนที่มองเห็นกลับตาบอด"
และ "ถ้าพวกท่านตาบอด พวกท่านก็จะไม่มีความผิดบาป แต่บัดนี้ท่านพูดว่า `เรามองเห็น' เหตุฉะนั้นความผิดบาปของท่านจึงยังมีอยู่"

พระเจ้าคะ
หมี่รู้ว่ามีอีกหลายอย่าง ที่หมี่ยังไม่รู้
โลกกว้างใหญ่มากนัก
ความจริงของพระเจ้า ยังมีอีกมากมายให้หมี่ได้ค้นหา
ความรักของพระเจ้าที่ยิ่งสัมผัสมากแค่ไหน
ก็ยิ่งพบว่าเกินความเข้าใจมากเท่านั้น

อย่าให้หมี่สำเหนียกตนผิดเลยนะคะ ว่าหมี่ "มองเห็น"
หมี่เห็นได้ด้วยแสงสว่างจากพระองค์เท่านั้นเองค่ะ

ทางเดินข้างหน้า หมี่ยังมองไม่เห็น ขอให้หมี่วางใจมากขึ้น
ส่วนทางเดินที่ผ่านมา ที่หมี่เห็นแล้ว
ขอให้หมี่เห็นอย่างเข้าใจตามน้ำพระทัยพระองค์นะคะ
อย่าให้หมี่เป็นฟาริสิ ที่ปิดตา ปิดใจ กับความจริงของพระองค์ ไม่ว่ากรณีใดทั้งสิ้น
พระเจ้าช่วยด้วยนะคะ

7.01.2552

ปรัชญาเปาโล

พระคัมภีร์บทหนึ่ง ที่ได้เอาไปแชร์กับลูกแกะ
สะท้อนความจริงบางอย่างของคริสเตียน
ที่หลงวนเวียนอยู่ใน "เนื้อหนัง"

1 โครินธ์ 3
เปาโลบอกกับเมืองโครินธ์ให้รู้ไว้ซะ
ว่าท่านน่ะ ไม่ได้เติบโตในฝ่ายวิญญาณเลย

1 โครินธ์ 2 : 9 บอกให้เรารู้ว่า
เรื่องของฝ่ายวิญญาณคือ...
สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึง

อะไรคือเนื้อหนังและ อะไรคือฝ่ายวิญญาณ จาก 1 โครินธ์ 3
ด้วยวาทะของเปาโลอันมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์

...ความอิจฉา ขัดเคืองใจ แบ่งฝักแบ่งฝ่าย...

โลกใบนี้ก็มีการแบ่งสถาบันมากมาย
เด็กจุฬา เด็กธรรมศาสตร์ พนักงานค่ายนี้ ลูกค้าค่ายนั้น
โลโก้ต่างๆ วิ่งมาประทับตราเราตลอดเวลา

คริสเตียนในโครินธ์ ก็สร้างโลโก้ให้ตัวเอง
ด้วยการสร้างสำนักเปาโล สำนักอปอลโล (4)
แล้วก็เอาโลโก้เหล่านั้นมาสร้างพรรคพวก
เปรียบเทียบกัน และสร้างความอิจฉาโดยไม่ใช่เรื่อง

แต่เปาโลสอนพวกเขาว่า พวกเขาทั้งหมดเป็นไร่นาของพระองค์ (9)
การเติบโตเป็นพระคุณของพระเจ้า พื้นฐานทุกอย่าง มาจากพระเยซูคริสต์
การ "เป็นคนของพระคริสต์" คือ keyword ของคริสเตียน
--ยอห์น 1:12--
สถาบันการศึกษา ตราประทับองค์กร หรือตราประทับสำนัก
ไม่มีความสำคัญใดเลย

สิ่งที่มนุษย์มองเห็นและคำนึงถึงกันถ้วนหน้าในสังคม..
เป็นหยากเยื่อของชีวิตฝ่ายวิญญาณ

...การงานที่ก่อขึ้น...
การงานใดเป็นการงานของพระเจ้า จะทนอยู่ได้ และเป็นที่พิสูจน์ได้ในเวลาหนึ่ง
อาจจะเป็นวันสุดท้าย วันแห่งการพิืพากษา (13)

แล้วมนุษย์หน้าไหนจะไปกล้าพูดได้ ว่าสิ่งนี้ สิ่งนั้น มาจากพระเจ้าหรือไม่
โดยใช้สายตาฝ่ามนุษย์มองและตัดสิน พิพากษา

พระเยซูกล่าวถึงการงานของพระองค์ด้วยความมั่นใจทุกครั้ง
พยานของพระองค์ คือตัวเองและพระบิดา..
ฟาริสีก็ชี้หน้าด่า ว่าขี้ตู่
--ยอห์น 8:13--

ความจริงทั้งหมดปรากฏขึ้น ชัดเจนได้ว่าเป็นการงานของพระเจ้า
ก็เมื่อพระองค์ูถูกตรึงการเขนแล้วด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตาม ตลอดชีวิตของพระเยซู
สิ่งที่พระองค์ทำ แต่ละเรื่อง แต่ละอย่าง...
เปลี่ยนแปลงจิตใจของคนแต่ละคน ด้วยวิธีการต่างกัน เวลาต่างกัน
มนุษย์ที่มีจิตใจคับแคบก็ตัดสินทุกอย่างตามความคิดของตน
แล้วบอกว่า นั่นดี นั่นไม่ดี นี่ไม่ใช่
ละเลยไปแล้วว่า ตนเองเป็นเพียงมนุษย์ที่จำกัด

การงานของพระเจ้าจะปรากฏให้เห็นเป็นแน่
ถ้าสายตาของเรา ไม่กว้างพอที่จะเข้าใจในผลที่มองไม่เห็น
ก็ไปรอดูเอาวันสุดท้าย (15)

...คนมีปัญญา...
ผู้คนต่างเย่อหยิ่ง ยิ่งมีมากยิ่งหยิ่ง
ถีบตัวเองขึ้นไปด้วยการโอ้อวดสำแดงความรู้ความสามารถของตน
และกดคนอื่นลง ด้วยว่าเขาด้อยกว่า ไม่มีปัญญาเทียบเท่าตัวเอง

มนุษย์ให้เกียรติกับคนฉลาดและประสบความสำเร็จ
แต่พระเจ้าให้เกียรติคนที่ถ่อมใจและให้เกียรติพระเจ้า

เปาโลบอกว่า อย่าหลอกตัวเอง ว่ามีปัญญา
ปัญญาเหล่านั้นไร้ค่าเหลือเกินในวันสุดท้าย
เพราะปัญญาของมนุษย์คือความโง่เขลาของพระเจ้า (18)
และสิ่งที่มนุษย์มองว่าโง่เขลา นั่นแหละ พระเจ้าจะยกชู

เราถูกมองว่าโง่เขลา เพราะเราไม่ได้แสวงหาเกียรติของมนุษย์
มนุษย์มองไม่เห็นสิ่งที่เขาต้องการจากเรา เขาจึงกดเราลง
แต่เมื่อเราให้เกียรติพระเจ้า พระเจ้าจะให้เกียรติเราสูงกว่ามนุษย์คนไหนจะให้ได้


...สิ่งสารพัด...
มนุษย์มองเห็นสิ่งใดว่ามีค่า ก็ยึด หา จับเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นของตัว
ชาวโครินธ์เดินตามอย่างมนุษย์ ที่จับยึดสิ่งของมองเห็นเหล่านั้น
จนลืมไปว่า สิ่งสำคัญที่เป็นรากฐานของชีวิต ไม่ได้มองเห็นด้วยตาเลย

ตั้งแต่ปฐมกาล พระเจ้าบอกว่า สิ่งสารพัดทั้งสิ้น พระองค์ทรงให้มนุษย์ครอบครอง
--ปฐก 1:26--

ทุกสิ่งนั้นเป็นของเรา (21)
และเราเป็นของพระเจ้า
พระเจ้าเป็นผู้มอบให้
ไม่ใช่ได้มาด้วยตัวเราเอง

คริสเตียนผู้ได้ชื่อว่า ดำเนินชีวิตในฝ่ายวิญญาณ
ทั้งในเมืองโครินธ์ และในโลกปัจจุบัน
คงต้องเลือกอย่างจริงจังแล้วว่า...

จะแสวงหาสิ่งที่สายตาและความคิดมนุษย์จับต้องได้ต่อไป

หรือจะกลับมาแสวงหาพระเจ้าที่มองไม่เห็น ผู้ทรงสร้างและให้ทุกสิ่งอย่าง
และดำเนินชีวิตในฝ่ายวิญญาณ
โดยเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นในสายตาอันจำกัดของตนเองเสียที