3.28.2552

ถ่อมใจ

วันนี้เฝ้าเดี่ยวในช่วงชีวิต peak ของเปโตร
ช่วงกำลังจะปฏิเสธพระเยซู 3 ครั้ง

มธ 26:30-35
พระเยซูขึ้นไปบนภูเขามะกอกเทศกับสาวก
และตรัสว่า สาวกจะทิ้งพระองค์

ในพระคัมภีร์ื KJV พระเยซูพูดว่า พวกท่านจะ "สะดุด" เพราะเรา
เหมือนกับมีคนทำให้สะดุด ชะงัก เพราะพระเยซูเป็นเหตุ (ไม่ใช่พระเยซูทำนะคะ)

แล้วเปโตรก็บอกว่า "แม้คนทั้งปวงจะสะดุดเพราะพระองค์ ข้าพระองค์จะสะดุดก็หามิได้เลย"
แล้วเปโตรก็ปฏิเสธพระเยซูไป 3 ครั้ง ทั้งที่ถูกเตือนแล้ว


เป็นไปได้ไหม ว่าเราเองก็สะดุด ชะงัก หกล้ม ไปหลายๆ ครั้ง
ทั้งที่เคยมั่นใจในตัวเองดีแล้ว ว่าเราโอเค
สำหรับหมี่ ถ้าบอกว่าเราจะทิ้งพระเจ้านะ ยังไงก็ยืนยันได้ 100% ;่าไม่มีทาง
แต่ถามว่า สะดุด ชะงัก เนี่ยมีบ้างไหม

ตอนนี้ก็มั่นใจดีอยู่ละนะ
แต่ว่าอารมณ์เปโตรมันมีก็มีมาเตือนเราเรื่อยๆ
พระเจ้าก็เตือนในใจว่า อย่ามั่นใจเกินไปนัก
ระวังจะสะดุดหกล้ม
-_-

รับทราบค่ะพระเจ้า
ช่วยหมี่ด้วยนะคะ

3.24.2552

ความรับผิดชอบ

เพื่อนเอาหนังสือมาให้เล่มหนึ่ง
Hope from my Heart : Ten Lesson for Life
Rich Devos
(ขอบคุณมากนะ)

มีบทเรียน 10 ข้อที่เป็นคุณค่าของชีวิต ส่งผลต่อทุกสิ่งทุกอย่าง
หนึ่งในนั้น ที่เพิ่งอ่านจบวันนี้ คือเรื่องของความรับผิดชอบ
Rich ยกพระวจนะของพระเจ้ามา ในมธ. 25:29
"ด้วยว่าผู้ใดมีอยู่แล้วจะเพิ่มเติมให้ผู้นั้นจนมีเหลือเฟือ
แต่ผู้ที่ไม่มี แม้ว่าซึ่งเขามีอยู่ก็จะต้องเอาไปจากเขา"

มนุษย์ปกป้องตัวเองกันมากมายเหลือเกิน
กล้าทำ แต่ไม่กล้ารับผิด
หรือบางทีไม่กล้าจะรับผิดชอบ ก็เลยไม่กล้าทำอะไรเลย

ทำให้สิ่งดีๆ หลายอย่างก็ไม่เกิดกับชีวิต
แล้วก็โทษโชคชะตา โทษสิ่งต่างๆ

ทั้งที่หลักการนิรันดร์คือ รับผิดชอบในทุกสิ่ง แล้วคุณจะได้เพิ่มเติมจนเหลือเฟือ

วันนี้เฝ้าเดี่ยวกับพระเจ้า ก็เปิดเจอใน มธ. 25:14-30
(ต่อจากคราวที่แล้ว ไม่ได้ตั้งใจ)
ทาส 3 คน กับเงิน 5, 2 และ 1 ตะลันต์

ช่วงนี้ มีงานเข้ามามากมายจริงๆ
นี่ยังไม่นับของใหม่ ที่กำลังจะเข้าไปวันจันทร์หน้านี้
หมี่ก็กลัวมากนะ ว่าจะทำไม่ได้ ทำไม่ไหว
แต่ลึกๆ ในใจก็รู้สึกว่า ดีใจนะ ที่ได้รับความไว้วางใจให้รับใช้พระเจ้ามากขึ้น
ถ้ามันจะมีส่วนช่วย มีส่วนสร้างจากมือเราได้่ ก็จะทำให้เต็มที่

จะกล้ารับผิด และจะรับชอบด้วยการถวายพระเกียรติแด่พระนามพระเจ้า
จะไม่ปกป้องตัวเองจากพระคุณพระเจ้า
และยิ่งมีมากขึ้นอีก ก็จะยิ่งทำให้ดีมากขึ้นอีก

พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่สุดยอดกับชีวิตของเราจริงๆ เลยล่ะค่ะ
รักพระเจ้า และจะรักพระเจ้ามากขึ้นทุกวันนะคะ

3.23.2552

น้ำมัน..

สัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นสัปดาห์แห่งปรากฏการณ์ใหม่ในชีวิต
พระเจ้าทำอะไรหลายๆ อย่างอย่างไม่น่าเชื่อจริงๆ

หลังจากที่รู้จักคำว่า "เสรีภาพ"
ก็เริ่มรู้จักคำว่าการเจิม
และเริ่มรู้จักการใช้ฤทธิ์เดชแห่งความจริง

เมื่อวานนี้พระเจ้าพูดด้วย
เร้าใจในเรื่องการรักพระเจ้่าสุดกำลัง

หมี่สัมผัสถึงการดิ้นสู้ ปล้ำสู้กับหลายๆ อย่างนะ
การเดินบนโลกนี้ให้มีความสุข มีเสรีภาพ มันต้องต่อสู้อะ
สู้กับตัวเอง สู้กับตัวเก่าของตัวเอง
สู้กับมารที่มันมาใส่ความคิดในหัวเราตลอดเวลา

บางคนรักพระเจ้าไม่พอ ก็ไม่สู้ซะอย่างนั้น
แล้ววันหนึ่งก็ตาย

พระเจ้าให้นึกถึงพระคัมภีร์ที่บอกว่า
"คือที่พระคริสต์ทรงสถิตในท่านอันเป็นที่หวังแห่งศักดิ์ศรี"
(แบบเต็มๆ อยู่ในโคโลสี 1:27)
พระคริสต์เป็นศักดิ์ศรี เป็นความหวัง และเป็นมงกุฏของผู้เชื่อจริงๆ นะ

เพราะพระเจ้าอยู่กับเรา เราเลยดีพอและมีความสุขกับชีวิตได้
รู้สึกขอบคุณพระเจ้าอย่างรุนแรง

แล้วเมื่อคืนก็เฝ้าเดี่ยว
อยู่ๆ ก็รู้สึกว่า ถ้าเราทำสิ่งต่างๆ แบบมีการเจิม แล้วเห็นสิ่งดีเกิดขึ้นเยอะๆ
วันหนึ่ง เราจะหยิ่งไหมเนี่ย
แล้วเราจะรักษความรู้สึกแบบนี้ การเจิมแบบนี้ไปได้นานแค่ไหน
ก็เลยถามพระเจ้าว่า จะทำยังไงให้การเจิมอยู่ตลอดไป...

พระเจ้าตอบว่า บัญญัติข้อใหญ่ 2 ข้อนั้นน่ะ ให้รักษาเอาไว้
รักพระเจ้าสุดจิตสุดใจ และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง

แล้วก็เปิดพระคัมภีร์ให้พระเจ้าพูดด้วยชัดๆ อีกรอบ

มธ.25:1-13 เป็นเรื่องราวของหญิงพรหมจารี 10 คน
5 คนที่โง่ และั 5 คนที่ฉลาด...
เรื่องนี้พูดถึงการเตรียมชีวิตเพื่อรอวันที่พระเยซูเสด็จกลับมา

แต่พอเราอ่านไปถึงน้ำมัน ก็นึกถึงการเจิมขึ้นมานะ (ในพระคัมภีร์ น้ำมันก็หมายถึงการเจิมล่ะ)
ตะเกียง ก็นึกถึงการเป็นแสงสว่างในโลก เป็นพระต่อคนอื่น

จริงๆ นะ ถ้าเราไม่แสวงหาไขว่คว้าการเจิมในชีวิต
แสงสว่างของเรามันก็จะดับเร็ว
แล้วเมื่อวันที่พระเจ้าอยากจะใช้เราเป็นพรกับคนอื่น
เราก็จะพลาดโอกาสนั้นไป เพราะเราไม่พร้อม

พระเจ้าน่ารักเสมอ
อยู่ใกล้ๆ พระเจ้าแล้วชีวิตมันดูเป็นชีวิต
โลกมันสว่าง
อะไรๆ ก็ดูเป็นเรื่องดี
แม้มีอะไรที่ไม่ดี เราก็จะสบายดี

ขอบคุณพระเจ้ามากๆ เลยค่ะ

3.21.2552

สัตย์ซื่อ

คำถามคลาสสิคที่หลายๆ คนเคยสงสัย
(แล้วผู้นำก็ชอบถาม ทดสอบความเข้าใจลูกแกะ)
สัตย์ซื่อ กับ ซื่อสัตย์ ต่างกันอย่างไร...

ตอบได้ไหมคะ

มธ 24:45-51
เกี่ยวกบผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อ และไม่สัตย์ซื่อ

ผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อคือนายตั้งให้รับผิดชอบการงาน
และเมื่อนายมา ไม่ว่าเมื่อไหร่ ก็เห็นการทำงานอย่างดีของเขา

ผู้รับใช้ที่ไม่สัตย์ซื่อ จะคิดว่า เดี๋ยวนายมาแล้วค่อยทำ

เนื่องจากว่าพระเจ้าจะมาเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้
คนที่บอกว่า รอพระเจ้าใกล้กลับมาก่อน
รอใกล้ตายก่อน...ค่อยตัดสินใจรับใช้พระเจ้า
รอคนเห็นก่อน...ค่อยทำดี
รอมีคนสั่งก่อน...ค่อยเริ่มต้น
รอ...
รอ...
อันนี้เรียกว่าไม่สัตย์ซื่อ

สัตย์ซื่อจึงมีความหมายมากกว่าซื่อสัตย์มากนัก


หมี่คิดว่าการสัตย์ซื่อในชีวิตของคนที่เป็นลูกพระเจ้า
มันไม่ใช่แค่คุณทำอะไร
แต่้มันคือ คุณคิดกับสิ่งที่ทำนั้นอย่างไร
คุณทำมันตอนไหน เป็นเวลาที่ดีที่สุดแล้วรึเปล่า
แล้วมันครบไหม กับสิ่งที่พระเจ้าให้ดูแลรักษาทั้งหมด

ข้อ 47 :
เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า
"นายจะตั้งเขาไว้ให้ดูแลบรรดาข้าวของของท่านทุกอย่าง"
เป็นของขวัญสำหรับความสัตย์ซื่อ

แว่บแรกคิดว่า
โอ้ งานรับใช้จะมากขึ้นอีกเหรอคะพระเจ้า
จะไม่ไหวเอานาาาาาา
แต่คิดแบบนี้มันถูกที่ไหนล่ะ -_-

หมี่คิดว่าพระเจ้าพูดถึงการครอบครองนะ
การมีมากขึ้นเพื่อที่จะใช้ดูแลคนอื่นได้มากขึ้น
แน่นอน มันจะตามมาด้วยความรับผิดชอบ

แต่คนที่สัตย์ซื่อ พระเจ้ารัก
แล้วผู้รับใช้ผู้นั้นก็จะเป็นสุข (ข้อ 46)

^_^

3.19.2552

เสรีภาพและความจริง

เคยสงสัยตัวเองอยู่หลายๆ ครั้ง
ว่าเราเป็นคนที่โลเล หันไปเหมากับความคิดของมนุษย์ได้ง่ายๆ เกินไปไหม

พักหลังๆ ยิ่งรู้สึกง่ายๆ ว่าตัวเอง "สับสน" กับสิ่งที่เป็น สิ่งที่ทำ
ความรู้สึกสับสนกับตัวเอง เป็นความทรมานอย่างหนึ่งเหมือนกันนะ
ตกลง อะไรมันถูก หรือมันผิดกันแน่วะ (กับตัวเอง )
อะไรใช่ไม่ใช่คะ (อันนี้พูดกับพระเจ้า)

เมื่อวานนี้มีการอธิษฐานกลุ่มสมาพันธ์พันธกิจความหวัง
ไปร่วมอธิษฐานด้วยความรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก
วนไปวนมากับความคิดและความรู้สึก
ทรมานจริงๆ นะ
ไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน (ก่อนหน้านี้ได้ข่าวว่าพระเจ้าบอกให้อดทนละ -_-)
ก็คาดหวังอย่างรุนแรง ขอพระเจ้ามาเยียวยา รักษา ปลดปล่อย

อธิษฐานนมัสการไปสักพัก
มีเสียงขึ้นในใจ บอกว่า เรากำลังจะโตขึ้น กำลังจะต้องโตขึ้น

พระเจ้าเร้าใจให้อธิษฐานว่ืา ขอความจริงของพระเจ้ามาปลดปล่อย
รู้ว่าสิ่งที่จะรักษา่ความรู้สึกได้ คงต้องเป็นความจริงเที่ยงแท้จากพระเจ้าเท่านั้น

มีคำเผยพระวจนะ 2 เรื่องมาถึงที่ประชุม

กิ่งไม้กิ่งหนึ่ง ถูกลิดออกจากต้น
อาจจะดูเหมือนกำลังจะตาย แต่ไม่ใช่
เพราะพระเจ้าจะนำกิ่งนั้นกลับไปติดกับกิ่งที่ถูกเตรียมไว้
และจะมีชีวิตเกิดขึ้น จะเกิดดอกออกผล

ก้อนหินก้อนหนึ่ง มีต้นไม้ต้นเล็กๆ งอกออกมาจากก้อนหินนั้น
สิ่งที่ประหลาดคือ ก้อนหินที่แข็งกระด้าง ไม่มีชีวิต จะเกิดต้นไม้ได้อย่างไร...
.
.
ต้นไม้ต้นนั้นโตขึ้น และรากของต้นไม้ค่อยๆ แทงลงไปในก้อนหิน
มีน้ำที่รดลงไป
ก้อนหินค่อยๆ กลายเป็นดิน
พร้อมที่จะเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตใหม่

ก็อธิษฐานกับพระเจ้าทันที
รู้ว่าพระเจ้าพูดด้วยเรื่องอะไร
ขอพระวิญญาณและชีวิตที่มาจากพระเจ้า เข้ามาทำงาน ทำการปลดปล่อย
ทำการรื้อฟื้น ชุบชีวิตให้กับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต การทำงาน การรับใช้ การดูแลคน
ต่อสู้รับใช้ในฝ่ายกายภาพมานาน แล้วก็เหนื่อยและไม่เห็นอะไร
ขอพระเจ้าเทฤทธิ์เดชของพระเจ้าลงมา
ผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์

เพราะสมองและเรี่ยวแรงที่มี ก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว

... ช่วงที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างในชีวิต
ยอมรับกับตัวเองว่า กำลังมองเหล่าสิ่งนั้นเป็นความฝัน
สิ่งที่กำลังมีอยู่ถืออยู่ ก็เป็นเหมือนก้อนหินจริงๆ
ได้แค่ถือ...
แต่ทะลุทะลวงไปทำอะไรไม่ได้เลย

พระเจ้่ากำลังทำงานของพระองค์ และพระองค์จะทำในสิ่งที่เกินความคาดหมาย
การฟื้นฟูจะลงมาแน่ คนที่รู้จักพระเจ้า จะพร้อม จะรอคอย
และจะมีชีวิตอยู่เพื่อการทำงานร่วมกับพระองค์
ต่อสู้กับพระองค์

พระเจ้ามาพูดกับที่ประชุมผ่านการเผยพระวจนะอีกครั้ง

ม้าศึกนั้นมีพร้อมแล้ว
สิ่งดีที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ ก็มีอยู่ตรงหน้าแล้ว
แต่ขุนศึก กลับหายกระจายไป
บ้างไม่ยอมขึ้นหลังม้า
บ้างขึ้นหลังม้าแล้ว แต่ไม่บังคับม้าให้วิ่งออกไปเข้าสู่การต่้อสู้

เมื่อเราตัดสินใจจะเป็นขุนศึกของพระเจ้า
จงรู้ว่า พระเจ้าจัดเตรียมสิ่งดีที่จะร่วมรบกับเรา
หาให้เจอ เห็นคุณค่า และออกรบไปด้วยกัน

สิ่งที่พระเจ้าพูดด้วยก็เป็นคำตอบของหมี่มากๆ เลยนะ
ตั้งใจว่า จะอดอาหารอธิษฐาน
วางแผนงานและลงรายละเอียดชีวิตด้านต่างๆ
และใช้สิ่งที่มีทุกๆ อย่างที่พระเจ้่าให้ อย่างดีที่สุด
.
.
.
แต่มันยังไม่หายค่ะ พระเจ้าคะ

กลับมาบ้านอธิษฐานต่อ
ฟังเพลงนมัสการจนนอนหลับไป
บอกพระเจ้าว่า ตื่นมาแล้วขอให้หายนะคะ

ตื่นมาด้วยอาการเหน็ดเหนื่อย เพราะนอนน้อยมา 2 วันละ
ตอนที่ลุก ก็ต้องตัดสินใจอยู่นาน
ตัดสินใจที่จะลุก ตัดสินใจที่จะไม่รู้สึกอะไรอีก

ระหว่างนั่งรถไปทำงาน ก็มีบางสิ่งผุดขึ้นมาในใจ
เสรีภาพจะเป็นสิ่งที่ช่วยเรานะ...

เปิดพระคัมภีร์อ่านบทเพลงคร่ำครวญบทที่ 4 ต่อจากเดิมจนจบ
เพื่อเป็นการไม่เสียเวลา

หลังจากนั้นคิดว่า อยากจะกลับไปอ่านพระคัมภีร์ใหม่บ้าง (เพราะเอเสเคียลยาวเหลือเกิน -_-)
ก็เปิดดูใน PPC เป็น list พระคัมภีร์
แล้วอยู่ดีๆ ก็ตัดสินใจอ่านกาลาเทีย

เปาโลพูดกับคริสตจักรของกาลาเทีย เรื่องการเป็นทาสธรรมบัญญัติ
ไม่ได้เห็นด้วยกับการเข้าสุหนัต ออกจะคัดค้านด้วยซ้ำ
กับพวกที่ทำๆ กันเป็นประเพณี

ให้มีเสรีภาพโดยพระวิญญาณ
มีเสรีภาพกับพระเจ้า โดยการไถ่ของพระเยซูคริสต์
ไม่ใช่ชอบธรรมด้วยธรรมบัญญัติและการทำตามๆ สิ่งที่มนุษย์คิดว่าดี

คงต้องอาศัยการรื้อฟื้นสักระยะ
จากชีวิตที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติมายาวนาน
เปลี่ยนแปลงเป็นชีวิตที่ควรคู่กับฤทธิ์เดช มีสันติสุข
อาจจะต้องมีกระบวนการและการช่วยเหลือจากพระเจ้าแบบพิเศษๆ ล่ะนะ

แต่ไม่เป็นไรค่ะ
พร้อมที่จะโต
พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง
ขอพระเจ้าช่วยเหลือนะคะ
.
.
.
.

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับคำตอบทุกๆ คำนะคะ
รักพระเจ้ามากๆๆๆๆๆ ขึ้นทุกวันเลยค่ะ

3.16.2552

อดทน...รอคอย

เืมื่อวานนี้ ไปนมัสการพระเจ้าด้วยอาการป่วยๆ
ปวดหัว ไข้ขึ้นตึ้บๆ ตั้งแต่คืนวันเสาร์

แต่ก็คาดหวัง...
คาดหวังในความป่วยนั่นแหละ
อยากให้้พระเจ้าพูดด้วย
ขอคำตอบและการทรงนำแบบ..ชัด ชัด

บางที การเลือกในสิ่งที่ดีที่สุด ในความจำกัดของเรา
เท่าที่สมองและความเชื่อจะไปถึงได้
ก็แสดงความเป็นผู้ใหญ่นะ
มันยากกว่าที่จะมาเดินตามคำสั่งอยู่แล้วล่ะ
แต่ก็ท้าทายและน่าตื่นเต้นมากกว่า
สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต
และสร้างจิตใจที่มั่นคงแข็งแรง

พระเจ้าบอกว่า
...เชื่อ...
...วางใจ...
พระเจ้าจะนำไปก้าวต่อก้าว
มีจิตใจที่ถูกต้อง
อย่าใช้สมอง ความคิด เหตุผลของมนุษย์
จนลืิมที่จะเชื่อ....

กับยุคสุดท้ายนะ
การล่อลวงคงมีมาก
ความยากลำบากก็มีมาก

แต่ มธ 24:13 บอกว่า
"แต่ผู้ที่ทนได้จนถึงที่สุด ผู้นั้นจะรอด"

ผู้ที่รอคอยพระเจ้า ก็จะได้สิ่งที่ดีที่สุดเช่นกันนะ

3.11.2552

สติปัญญา & ความจริงใจ

หนึ่งเรื่องที่เป็นปัญหาของตัวเอง
ฟังดูอาจเหมือนไม่ใช่ปัญหา
แต่ดันสร้างปัญหา
ก็คืออาการ "จริงใจเกินไป"

ทำให้เรื่องที่ไม่ควรพูดหลายเรื่อง ก็หลุดออกจากปากไปเฉยๆ
ถ้าคุยกับเพื่อนหรือกับญาติพี่น้องคงไม่มีปัญหาอะไรมากนัก

แต่ถ้าติดต่อธุรกิจหรือให้คำปรึกษาคน
การที่จะพูดทุกเรื่องไปเรื่อยๆ แบบไม่ผิดบัง
อาจจะนำมาซึ่งความเสียหายได้อย่างง่าย

ซึ่งจะว่าไปแล้ว... ก็มีประสบการณ์ขั้นน้ำตาไหลไปหลายที

และก็มีหลายๆ ครั้งที่คิดว่า ผิดหรือไงที่เราเป็นแบบนี้
ก็อย่าเอาเราไปติดต่อธุรกิจ ได้ไหมล่ะ

.
.
.
.
.

วันนี้เปิดพระคัมภีร์อ่านใน มธ 22:15-22
พระเยซูกับฟาริสี คุยกันเรื่องการเสียส่วย...

พระเจ้าสอนเรื่องสติปัญญาผ่านตอนนี้เลยค่ะ

1.พระเยซูรู้จักฟาริสี (18)

ในพระคัมภีร์เขียนว่า พระเยซูล่วงรู้ถึงความชั่วร้ายของเขา
ไม่น่าจะใช่อารมณ์แบบว่า พระเจ้าพูดเจาะจงว่าคนนี้ชั่วร้าย
ฟาริสีเองก็เข้ามาด้วยคำพูดที่ดี วัตถุประสงค์ที่ดูเหมือนดี
แต่พระเยซูวินิจฉัยคนเป็น อาจจะเคยเจอกันแล้วจำได้ก็ได้
หรือไม่ก็สังเกตแววตา สีหน้า น้ำเสียงที่ซ่อนอยู่ได้
ซึ่งเราเอง ถ้าหากเรียนรู้จักสังเกตพฤติกรรมคนอื่นๆ ก็จะวิเคราะห์ได้
ใครมาดี มาร้าย จะได้ตอบสนองถูก

2.พระเยซูตรงไปตรงมา (18)
ไม่โกหก ไม่แกล้งพูดดีด้วย
พูดสิ่งที่เป็นจริง...
หมายความว่า การมีสติปัญญา ไม่ใช่การหลีกเลี่ยงความจริง
หรือรักษาสถานการณ์ตรงหน้า่ให้ดูดี

3.พระเยซูช้าในการคิดและตรึกตรอง (19)
พระเยซูน่าจะรู้นะ ว่าเหรียญในสมัยนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร
แต่พระองค์ก็ถาม และให้เอาเหรียญมาให้ดู
สังเกตว่าหลายๆ ครั้ง พระเยซูไม่ได้ตอบเลยทันทีรวดเร็วทันใจ
...
ไม่เหมือนเรา

4.พระเยซูตอบกลับแบบ Mega Clever ฉลาดสุดๆ (21)
ให้เห็นภาพเห็นหลักฐานกันไปเลย คือมีการให้เอาเหรียญมาดูก่อน
แล้วก็ถามกลับ ให้ฟาริสีตอบ
การย้อนถามกลับนี่พระเยซูใช้บ่อยนะคะ
น่าเอาไปลองใช้
...
แล้วก็ตอบโดยเอาคำตอบจากฟาริสีนั่นแหละ มาใช้ซะ
ก็คุณตอบออกมาจากปากคุณเองนี่นา

5.พระเยซูทำให้คนอึ้ง (22)
การตอบที่ฉลาดๆ แบบพระเยซูก็เป็นเหมือนอาวุธ
ใช้ต่้อกรผู้ที่คิดร้ายกับเราให้หงาย
ไปต่อไม่ถูกเลยทีเดียว

.
.
.
.

ทั้งนี้ทั้งนั้น สรุปแล้วพระเจ้าสอนว่า
"ฉลาดเหมือนงู แต่อ่อนสุภา่พเหมือนนกพิราบ"
เพิ่งมีพี่คนหนึ่งมาหนุนใจด้วยคำนี้

จริงใจได้เต็มที่ แต่ต้องมีสติปัญญา
พระเยซูไม่ได้โกหก ไม่ได้พูดร้ายปลิ้นปล้อนสักคำเดียว
แต่ก็ทำเอาศัตรูแพ้ยับไปหลาย

ไม่ต้องเอามาอ้างนะ คนละเรื่องกันเลย หมี่เอ๋ย

3.08.2552

ลงน้ำลึก

เมื่อวันก่อนได้อธิษฐานกับพี่น้องถึงหัวข้อหนึ่ง
คือให้เราเรียนรู้จักความรักที่ลึกซึ้งของพระเจ้ามากขึ้น

รู้สึกสะกิดใจ
เมื่อได้ยินพี่น้องข้่างๆ อธิษฐานประมาณว่า
"ขอให้เรากล้าที่จะก้าวไปในน้ำลึกแห่งความรักของพระเจ้า
แม้ว่าจะเหยียบไม่เจอพื้นดิน"
เคยได้ยินหลายครั้ง เรื่องการก้าวไปที่น้ำลึกในความรักพระเจ้า
แต่ไม่เคยเห็นภาพ เพราะว่าไม่เคยคิดว่าลึกแบบจะต้องจม
ลึกยังไงก็คงแค่ลึกกว่าเดิม แต่ยังยืนถึง

ถ้าเป็นความลึกที่แบบ ก้าวไปไ่ม่เจอพื้น แล้วก็ต้องจมน้ำ
ความรู้สึกคงแตกต่าง ไม่ได้ง่ายเหมือนเดิมในการที่จะเรียนรู้จักความรักพระเจ้าที่ลึกขึ้นไปอีก

ประสบการณ์ที่ผ่านมา แต่ละครั้งที่ได้เรียนรู้จักความรักพระเจ้าหรือได้เปิดความเข้าใจอะไรใหม่ๆ
มีหลายๆ ครั้งทีเดียว ที่้ต้องเจอกับความรู้สึกที่ไม่อยากเจอ
ความผิดหวัง ความล้มเหลว การตัดสินใจ ความเศร้า ความเสียใจ ความอับอาย
แต่เมื่อเราผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่ได้ คุ้มค่ากับบทเรียนที่ตัดสินใจผ่าน
การกล้าี่จะก้าวลงสู่น้ำลึก
คงหมายถึงการยอมที่จะละทิ้ง "ความกลัว" จมน้ำ และ้เราตัดสินใจเดินต่อไป ทำต่อไป

วันนี้พระเจ้าพูดด้วยผ่านการนมัสการว่า
"อย่ากลัว"
อย่ากลัวที่จะเจอกับปัญหา สถานการณ์ การตัดสินใจ
อย่ากลัวที่จะลงน้ำลึก แม้ไม่เจอพื้นดิน
อย่ากลัวที่จะเจ็บปวด
อย่ากลัวที่จะอับอาย
อย่ากลัวที่จะเรียนรู้จักความรักที่ลึกมากกว่าเดิม

2 ทธ 1:7
"เพราะว่าพระเจ้ามิได้ทรงประทานจิตที่ขลาดกลัวให้เรา
แต่ได้ทรงประทานจิตที่กอปรด้วยฤทธิ์ความรัก"
และการบังคับตนเองให้แก่เรา

มั่นใจหน่อยนะ

ยชว 1:9
"เราสั่งเจ้าไว้แล้วไม่ใช่หรือว่า จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด
เพราะว่าเจ้าไปในถิ่นฐานใด พระเยโฮวาห์ พระเจ้าของเจ้าทรงสถิตย์กับเจ้า"

3.07.2552

Wings

We've got to fly, fly
We're gonna spread our wings
and fall into the sky

เป็นท่อนหนึ่งจากเพลงหนึ่งที่ชื่อว่า Give What You've Got
ของ Delirious? วงดนตรีคริสเตียนในดวงใจ
เป็นเพลงเร็วนะ
แต่ฟังแล้วรู้สึกดี แอบซาบซึ้ง

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ตอนนมัสการ คำหนึ่งที่ดังในใจก็คือ "ปีก"
เหมือนนกบิน
บนท้องฟ้า
ดูมีอิสระเสรีภาพมาก
มองเห็นทางได้ไกลๆ
แล้วก็ไม่ร่วง เวลาพลัดหล่น

ถ้าเราใช้ชีวิตเหมือนมีปีกได้ก็ดี
ถ้าเรามั่นใจตลอดเวลาได้ว่า ปีกของแข็งแรง มั่นคง ต่อติดสนิท
และมีประสิทธิภาพเกินขีดจำกัด จิตใจก็คงจะแข็งแรงดี

นั่นแหละ
พระเจ้าเป็นปีกแบบนั้น

"แต่เขาทั้งหลายผู้รอคอยพระเจ้าจะเสริมเรี่ยวแรงใหม่
เขาจะบินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี
เขาจะวิ่งและไม่เหน็ดเหนื่อย
เขาจะเดินและไม่อ่อนเปลี้ย"
อสย 40:31