7.29.2552

หมายสำคัญของโยนาห์

เมื่อวานนี้คุยกับพี่คนหนึ่ง ถึงข้อพระคัมภีร์ที่บอกว่า
คนชาติชั่วและคิดคดทรยศต่อพระเจ้าแสวงหาหมายสำคัญ
และจะไม่โปรดให้หมายสำคัญแก่เขา เว้นไว้แต่หมายสำคัญของโยนาห์เท่านั้น
ใน มัทธิว 16:4

บางสำนัก อาจจะอ่านพระคัมภีร์ข้อนี้แล้วตีความว่า
ในยุคสุดท้ายที่เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่ จะไม่มีหมายสำคัญเกิดขึ้นอีกแล้ว
นอกจากการฟื้นคืนพระชมน์ของพระเยซูคริสต์
แต่พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงหมายสำคัญหลายอย่างที่อัครทูตได้ทำขึ้น
ด้วยเดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์...

โรม 15:19 คือด้วยอิทธิฤทธิ์แห่งหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ในฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ จนข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐของพระคริสต์อย่างถ้วนถี่ ตั้งแต่กรุงเยรูซาเล็มอ้อมไปยังเมืองอิลลีริคุม

มาดูพระคัมภีร์กันต่อ
ในมัทธิว 12:41 บอกว่า
ชนชาวนีนะเวห์จะลุกขึ้นในวันพิพากษาพร้อมกับคนยุคนี้
และจะเป็นตัวอย่างให้คนยุคนี้ได้รับโทษ
ด้วยว่าชาวนีนะเวห์ได้กลับใจเสียใหม่ เพราะคำประกาศของโยนาห์
และซึ่งใหญ่กว่าโยนาห์มีอยู่ที่นี่

พระคัมภีร์บอกว่า
ในยุคสุดท้ายจิตใจของคนจะแข็งกระด้าง ความรักจะเยือกเย็นลง
แล้วเราก็เห็นว่า คนให้ความสำคัญกับสติปัญญาความรู้ (แบบมนุษย์)
มากกว่ายุคที่ผ่านๆ มา

คนให้ความสำคัญกับการศึกษา ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
ข่าวสารต่างๆ ทฤษฎีที่ได้รับการค้นพบใหม่ๆ
คนที่มีข้อมูลเยอะ การศึกษาดี ก็เก่ง เป็นที่นับถือ

เรื่องที่น่าเศร้าใจคือ
สิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าให้ความสำคัญ
ไม่ได้รับความสำคัญจากสารระบบของคนในยุคนี้ไปเสียแล้ว

หากเปิดใจให้กว้างก็จะรู้ว่า
ความเข้าใจใหม่ๆ เล็งให้เห็นการมีอยู่ของพระเจ้าได้มากกว่าเดิมเสียอีก
สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ ไม่ได้ขัดกับพระคัมภีร์
และการศึกษาเกี่ยวกับจิตวิญญาณที่กำลังโด่งดัง
ก็เป็นเรื่องเดียวกันกับความเข้าใจฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าบอกเรามาตลอด

จิตใจคนแข็งกระด้าง คนมัวแต่หวาดกลัวการสูญเสีย
คนมัวแต่ปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง
สร้่างเกราะกำบังในชีวิต และในจิตใจไว้กี่ชั้นกันก็ไม่รู้
จะกลับไปรู้จักตัวตนของตัวเองได้ ก็เหนื่อย
ต้องพยายามเปิดใจและเจอกับความปวดใจกันไม่รู้จักจบสิ้น

เนี่ยแหละ ผลของความบาปที่ทวีคูณขึ้นในยุคนี้
ถ้าคนสมัยพระคัมภีร์เดิมได้เห็นและรู้อะไรต่างๆ เท่ากับคนในยุคนี้ได้รู้
สงสัยจะกลับใจกันทั้งโลก

เนี่ยแหละผลของความบาป

ขอบคุณพระเจ้าที่มีพระคุณกับโลกและกับเรา

7.15.2552

ชายตาบอด

อ่านพระคัมภีร์ยอห์น บทที่ 9 เรื่องชายตาบอด
เรื่องยาวเหมือนกัน

พระเยซูไปเจอชายตาบอดคนหนึ่ง
สาวกถามว่า เขาตาบอดเพราะใครทำบาป
พระองค์ตอบว่า เขาตาบอดเพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้าสำเร็จ

ชายตาบอดคนนั้น สร้างความตื่นเต้นโกลาหลให้ทั้งเมือง (ด้วยฝีมือพระเยซู)
เขาไม่รู้ว่าพระองค์เป็นใคร เขารู้เพียงว่า พระองค์ทำให้โลกมืดของเขาสว่างขึ้น

กระบวนการค้นหาความจริงของฟาริสิ ช่างวกวน
ถามแล้ว ถามอีก ถามคนนั้น ถามคนนี้

ความจริงก็คือความจริง ชายตาบอดก็ทำได้แค่ให้ข้อมูลความจริง
และยืนยันในสิ่งที่ตนเองเชื่อ
พระเยซูไม่ได้เป็นคนบาป
พระเยซูคือผู้รักษาตาของเขา

ความจริงใจต่อสิ่งที่พระเยซูได้ทำในชีวิตของเขา ทำให้เขาเชื่อ
และรับความรอด

พระเยซูตรัสว่า "เราเข้ามาในโลกเพื่อแก่การพิพากษา เพื่อให้คนทั้งหลายที่มองไม่เห็นกลับมองเห็น และคนที่มองเห็นกลับตาบอด"
และ "ถ้าพวกท่านตาบอด พวกท่านก็จะไม่มีความผิดบาป แต่บัดนี้ท่านพูดว่า `เรามองเห็น' เหตุฉะนั้นความผิดบาปของท่านจึงยังมีอยู่"

พระเจ้าคะ
หมี่รู้ว่ามีอีกหลายอย่าง ที่หมี่ยังไม่รู้
โลกกว้างใหญ่มากนัก
ความจริงของพระเจ้า ยังมีอีกมากมายให้หมี่ได้ค้นหา
ความรักของพระเจ้าที่ยิ่งสัมผัสมากแค่ไหน
ก็ยิ่งพบว่าเกินความเข้าใจมากเท่านั้น

อย่าให้หมี่สำเหนียกตนผิดเลยนะคะ ว่าหมี่ "มองเห็น"
หมี่เห็นได้ด้วยแสงสว่างจากพระองค์เท่านั้นเองค่ะ

ทางเดินข้างหน้า หมี่ยังมองไม่เห็น ขอให้หมี่วางใจมากขึ้น
ส่วนทางเดินที่ผ่านมา ที่หมี่เห็นแล้ว
ขอให้หมี่เห็นอย่างเข้าใจตามน้ำพระทัยพระองค์นะคะ
อย่าให้หมี่เป็นฟาริสิ ที่ปิดตา ปิดใจ กับความจริงของพระองค์ ไม่ว่ากรณีใดทั้งสิ้น
พระเจ้าช่วยด้วยนะคะ

7.01.2552

ปรัชญาเปาโล

พระคัมภีร์บทหนึ่ง ที่ได้เอาไปแชร์กับลูกแกะ
สะท้อนความจริงบางอย่างของคริสเตียน
ที่หลงวนเวียนอยู่ใน "เนื้อหนัง"

1 โครินธ์ 3
เปาโลบอกกับเมืองโครินธ์ให้รู้ไว้ซะ
ว่าท่านน่ะ ไม่ได้เติบโตในฝ่ายวิญญาณเลย

1 โครินธ์ 2 : 9 บอกให้เรารู้ว่า
เรื่องของฝ่ายวิญญาณคือ...
สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึง

อะไรคือเนื้อหนังและ อะไรคือฝ่ายวิญญาณ จาก 1 โครินธ์ 3
ด้วยวาทะของเปาโลอันมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์

...ความอิจฉา ขัดเคืองใจ แบ่งฝักแบ่งฝ่าย...

โลกใบนี้ก็มีการแบ่งสถาบันมากมาย
เด็กจุฬา เด็กธรรมศาสตร์ พนักงานค่ายนี้ ลูกค้าค่ายนั้น
โลโก้ต่างๆ วิ่งมาประทับตราเราตลอดเวลา

คริสเตียนในโครินธ์ ก็สร้างโลโก้ให้ตัวเอง
ด้วยการสร้างสำนักเปาโล สำนักอปอลโล (4)
แล้วก็เอาโลโก้เหล่านั้นมาสร้างพรรคพวก
เปรียบเทียบกัน และสร้างความอิจฉาโดยไม่ใช่เรื่อง

แต่เปาโลสอนพวกเขาว่า พวกเขาทั้งหมดเป็นไร่นาของพระองค์ (9)
การเติบโตเป็นพระคุณของพระเจ้า พื้นฐานทุกอย่าง มาจากพระเยซูคริสต์
การ "เป็นคนของพระคริสต์" คือ keyword ของคริสเตียน
--ยอห์น 1:12--
สถาบันการศึกษา ตราประทับองค์กร หรือตราประทับสำนัก
ไม่มีความสำคัญใดเลย

สิ่งที่มนุษย์มองเห็นและคำนึงถึงกันถ้วนหน้าในสังคม..
เป็นหยากเยื่อของชีวิตฝ่ายวิญญาณ

...การงานที่ก่อขึ้น...
การงานใดเป็นการงานของพระเจ้า จะทนอยู่ได้ และเป็นที่พิสูจน์ได้ในเวลาหนึ่ง
อาจจะเป็นวันสุดท้าย วันแห่งการพิืพากษา (13)

แล้วมนุษย์หน้าไหนจะไปกล้าพูดได้ ว่าสิ่งนี้ สิ่งนั้น มาจากพระเจ้าหรือไม่
โดยใช้สายตาฝ่ามนุษย์มองและตัดสิน พิพากษา

พระเยซูกล่าวถึงการงานของพระองค์ด้วยความมั่นใจทุกครั้ง
พยานของพระองค์ คือตัวเองและพระบิดา..
ฟาริสีก็ชี้หน้าด่า ว่าขี้ตู่
--ยอห์น 8:13--

ความจริงทั้งหมดปรากฏขึ้น ชัดเจนได้ว่าเป็นการงานของพระเจ้า
ก็เมื่อพระองค์ูถูกตรึงการเขนแล้วด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตาม ตลอดชีวิตของพระเยซู
สิ่งที่พระองค์ทำ แต่ละเรื่อง แต่ละอย่าง...
เปลี่ยนแปลงจิตใจของคนแต่ละคน ด้วยวิธีการต่างกัน เวลาต่างกัน
มนุษย์ที่มีจิตใจคับแคบก็ตัดสินทุกอย่างตามความคิดของตน
แล้วบอกว่า นั่นดี นั่นไม่ดี นี่ไม่ใช่
ละเลยไปแล้วว่า ตนเองเป็นเพียงมนุษย์ที่จำกัด

การงานของพระเจ้าจะปรากฏให้เห็นเป็นแน่
ถ้าสายตาของเรา ไม่กว้างพอที่จะเข้าใจในผลที่มองไม่เห็น
ก็ไปรอดูเอาวันสุดท้าย (15)

...คนมีปัญญา...
ผู้คนต่างเย่อหยิ่ง ยิ่งมีมากยิ่งหยิ่ง
ถีบตัวเองขึ้นไปด้วยการโอ้อวดสำแดงความรู้ความสามารถของตน
และกดคนอื่นลง ด้วยว่าเขาด้อยกว่า ไม่มีปัญญาเทียบเท่าตัวเอง

มนุษย์ให้เกียรติกับคนฉลาดและประสบความสำเร็จ
แต่พระเจ้าให้เกียรติคนที่ถ่อมใจและให้เกียรติพระเจ้า

เปาโลบอกว่า อย่าหลอกตัวเอง ว่ามีปัญญา
ปัญญาเหล่านั้นไร้ค่าเหลือเกินในวันสุดท้าย
เพราะปัญญาของมนุษย์คือความโง่เขลาของพระเจ้า (18)
และสิ่งที่มนุษย์มองว่าโง่เขลา นั่นแหละ พระเจ้าจะยกชู

เราถูกมองว่าโง่เขลา เพราะเราไม่ได้แสวงหาเกียรติของมนุษย์
มนุษย์มองไม่เห็นสิ่งที่เขาต้องการจากเรา เขาจึงกดเราลง
แต่เมื่อเราให้เกียรติพระเจ้า พระเจ้าจะให้เกียรติเราสูงกว่ามนุษย์คนไหนจะให้ได้


...สิ่งสารพัด...
มนุษย์มองเห็นสิ่งใดว่ามีค่า ก็ยึด หา จับเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นของตัว
ชาวโครินธ์เดินตามอย่างมนุษย์ ที่จับยึดสิ่งของมองเห็นเหล่านั้น
จนลืมไปว่า สิ่งสำคัญที่เป็นรากฐานของชีวิต ไม่ได้มองเห็นด้วยตาเลย

ตั้งแต่ปฐมกาล พระเจ้าบอกว่า สิ่งสารพัดทั้งสิ้น พระองค์ทรงให้มนุษย์ครอบครอง
--ปฐก 1:26--

ทุกสิ่งนั้นเป็นของเรา (21)
และเราเป็นของพระเจ้า
พระเจ้าเป็นผู้มอบให้
ไม่ใช่ได้มาด้วยตัวเราเอง

คริสเตียนผู้ได้ชื่อว่า ดำเนินชีวิตในฝ่ายวิญญาณ
ทั้งในเมืองโครินธ์ และในโลกปัจจุบัน
คงต้องเลือกอย่างจริงจังแล้วว่า...

จะแสวงหาสิ่งที่สายตาและความคิดมนุษย์จับต้องได้ต่อไป

หรือจะกลับมาแสวงหาพระเจ้าที่มองไม่เห็น ผู้ทรงสร้างและให้ทุกสิ่งอย่าง
และดำเนินชีวิตในฝ่ายวิญญาณ
โดยเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นในสายตาอันจำกัดของตนเองเสียที

นักเทศน์ตัวน้อยกับความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

เมื่อวัีนอาทิตย์ที่ผ่านมา ในช่วงเทศนา
อาจารย์ไ้ด้เอาวีดีโอเกี่ยวกับเด็กชายตัวน้อย อายุ 8 ขวบมาให้ดู

ความ peak ของเรื่องนี้คือ
ระหว่างความขัดแย้งของชาวมุสลิมและคริสเตียนในประเทศอินโดนีเซีย
เด็กชายคนนี้ ได้ลุกขึ้นมาเทศนาเพื่อสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้น
คู่ไปกับเด็กอีกคนหนึ่ง ที่คอยอธิษฐานเผื่ออยู่ใกล้ๆ

ผู้คนในอินโดนีเซียหันมาบอกกับตัวเองเมื่อได้ฟังคำเทศน์
ว่า จริงสินะ เราอยู่ร่วมกันได้แม้ในความแตกต่าง

สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ด้วย...
ความสามารถ?
ประสบการณ์?

พระคุณและโอกาสต่างหาก
ถ้าพระเจ้าจะใช้ผู้ใด พระเจ้าจะเจิมผู้นั้น
ไม่ขึ้นอยู่กับความสามารถ
ไม่ขึ้นอยู่กับประสบการณ์
แต่ขึ้นอยู่กับพระคุณ

คิดๆ แล้วก็แปลกใจ
ประเทศอินโดนีเซียที่ดูเป็นดินแข็งขนาดนั้น
พระเจ้ายังทำงานกับเด็กตัวน้อยๆ ได้

คงเป็นเพราะความไม่มีการศึกษาของคนส่วนใหญ่
ทำให้ไม่เกิดความเย่อหยิ่ง ไม่ปิดใจ ไม่ปิดกั้น
ไม่ใช้ความคิดมากไปกว่าการอาศัยความเชื่อ
เชื่อพระเจ้า
เชื่อใจคนที่มีพระเจ้า มากกว่าเชื่อความคิดของตนเอง

ประเทศไทย ดูภายนอกเหมือนเป็นดินดี อ่อนโยน อ่อนนุ่ม
แต่ทำไมถึงไม่มีโอกาสให้คนไทย ได้รับใช้พระเจ้าแบบนี้บ้าง

ถ้าเราไม่ได้รับการไว้วางใจจากมนุษย์
เพราะไม่มีเครื่องยืนยันเป็นสิ่งที่ตามองเห็นได้
เราก็ต้องรับผิดชอบในการแสวงหาโอกาสและความกล้าหาญเองใช่ไหม

การสนับสนุนมาถึงทุกคนอย่างเท่าเทียมได้หรือไม่
ระบบชนชั้น ฐานะ การศึกษา ผลงาน ความสำเร็จ
อันเป็นมาตรฐานสังคมที่ปลูกฝังรากลึกมานาน
มาตรฐานที่วัดได้ด้วยสายตา..
จะไม่มาขวางกั้นการทำงานของพระเจ้า และโอกาสของผู้เชื่อได้หรือไม่

คริสเตียนไทยจะต้องเดินตามกรอบสังคม
เพื่อสนับสนุนมาตรฐานผิดๆ แบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน

ผู้เชื่อจะได้รับการสนับสนุนให้มีเสรีภาพ
เพื่อรับใช้พระเจ้าด้วยพระคุณได้เมื่อไหร่

เห็นแต่เด็กกลับมาชาติมาเกิด ที่ได้ออกทีวีของบ้านเรา
แล้วนักเทศน์ผู้ทำการอัศจรรย์ จะได้ออกทีวีกับเขาบ้างไหม

ว่าแต่ว่า การอัศจรรย์จะมาได้อย่างไร
หากเรายังดำเนินชีวิตภายใต้สิ่งที่ตามองเห็น
และพิพากษาจิตใจและความเป็นคน ตามสิ่งที่ตามองเห็น

ยอห์น 8:15-16

จะต่างอะไรกับฟาริสี

เศร้าใจ
แต่ก็ดีใจที่ได้รับความมั่นใจมากขึ้น
ว่า น้ำพระทัยพระเจ้า คือพระองค์ใช้คนตามพระคุณของพระองค์